การปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของหุ้น DELTA ในช่วงนี้ หนึ่งในสาเหตุหลักมาจากความกังวลการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดรับฟังความเห็น (Hearing) แนวทางปรับปรุงการคำนวณดัชนีด้วยวิธี "จำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัว" หรือ Capped Weight ให้หุ้นแต่ละตัวมีน้ำหนักมาร์เก็ตแคปไม่เกิน 10% ของดัชนี SET50 และ SET100 ฯลฯ เพื่อลดความผันผวนของดัชนีไม่ว่าหุ้นตัวนั้นจะปรับตัวขึ้นหรือลงก็ตาม โดยจะปิดรับความคิดเห็นในวันที่ 17 ก.พ.68
หากมองไปที่ตลาดหุ้นในต่างประเทศที่มีการจำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวให้ไม่เกิน 10% คือ ตลาดหุ้นฮ่องกง ก็เห็นสภาพคล้ายกับตลาดหุ้นไทย ในขณะที่มีหลายตลาดหุ้นชั้นนำของโลกที่พุ่งทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีข้อบังคับเช่นนี้ แต่กลับส่งเสริมความเสรีไม่ทำให้เกิดความบิดเบือน เช่น S&P500 ของอเมริกา หรือ Nikkei ของญี่ปุ่น
ตัวอย่างของหุ้นรายตัวที่มีหนักเกินไปมาก อย่างเช่น DBS Bank มีน้ำหนัก 25% ใน STI INDEX ของตลาดหุ้นสิงคโปร์ หรือ หุ้นยอดฮิตอย่าง TSMC ก็มีน้ำหนัก 30% ของตลาดไต้หวัน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อตลาดหุ้นหรือนักลงทุน กระแสเงินทั้งโลกก็ยังแห่เข้ามาลงทุนในหุ้นสองตัวนี้
การไปสกัดกั้นการเพิ่มน้ำหนักหุ้น DELTA ในดัชนี SET50/SET100 เกิดขึ้นในขณะที่หลายฝ่ายมองว่าธุรกิจของ DELTA อาจจะเป็นหุ้นพื้นฐานที่ดีมาก และใกล้เคียงกับการเล่นหุ้น Theme AI โลกในตลาดไทยมากที่สุด
เนื่องจากโครงสร้างของสินค้าที่ DELTA ขาย คือ Power Supply ที่ใช้ใน Data Center เป็นสินค้าที่มีความต้องการทั่วโลก แนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในสายตานักวิเคราะห์ประมาณการไว้เฉลี่ย 40% จากนี้ไปอีก 3-4 ปีข้างหน้า เพราะที่ผ่านมา DELTA ได้ปฏิเสธออร์เดอร์ของลูกค้าไปครึ่งหนึ่งที่เข้ามา เนื่องจากกำลังการผลิตมีจำกัดและที่ผ่านมาได้เพิ่มกำลังผลิตอีก 50% เพื่อสอดรับกับการเติบโตไปแล้ว
ขณะที่ข้อได้เปรียบของ DELTA Thailand ที่ไม่ได้มีฐานการผลิตในประเทศจีน ทำให้สามารถส่งสินค้าไปขายได้ทั่วโลก โดยไม่มีปัญหาหรือข้อจำกัดใดๆ นี่คือเหตุผลหลายปัจจัยที่นักลงทุนมองว่า DELTA อาจจะเป็นหุ้นในตลาดไทยที่มีพื้นฐานน่าสนใจที่สุดตัวหนึ่งในภาวะที่นักลงทุนทั้งโลกวิ่งเข้าหากลุ่ม technology
ดังนั้น การพยายามจะกำหนดน้ำหนักของการลงทุนย่อมอาจทำให้มีผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันได้ (unintended consequence)
ถ้าหาก DELTA สามารถสร้างผลประกอบการได้อย่างที่หลายฝ่ายประเมิน (ในอนาคต) นั่นย่อมหมายถึงการเสียโอกาสของนักลงทุนในกองทุนทั้งในและต่างประเทศที่จะถูก limit น้ำหนักไว้ที่ 10%
โดยเฉพาะช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงทุกวันตามแรงเทขายของต่างชาติที่กังวลเรื่องมาตรการต่างๆ และผลประกอบการของหุ้นในตลาดส่วนใหญ่ลดน้อยถอยลง เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม 4 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมา -200 กว่าจุด รั้งตลาดยอดแย่ของโลกต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้กำลังเผชิญกับการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติมานาน 2 ปี รวม -3.5 แสนล้านบาท
หุ้นที่เคยเป็นหุ้นตัวแทน (Proxy) ของตลาดหุ้นไทย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจโลกเก่า (Old Business) ทั้งนั้น ประกอบกับศักยภาพของคนในประเทศเองก็ไม่สามารถสร้างบริษัท Tech AI ได้
การจะไปคุมกำเนิด "ราคาหุ้นรายตัว" ที่อนาคตมีแนวโน้มผลประกอบการที่ดี อาจจะเป็นการทำลายโอกาส ที่เหมือนจะไม่ค่อยจะมีในตลาดหุ้นให้หายไปในพริบตา
SET INDEX ตอนนี้เปรียบเหมือน "แผ่นดิน" ที่กำลังเดือดร้อนจากการรุกราน (เงินทุนไหลออก)
สิ่งที่ "ผู้นำ" ควรทำหรือสั่งการ คือหาวิธีปกป้องการไหลออกของทุนต่างชาติ มากกว่าที่จะเอา "ขุนพล" ที่คอยปกป้อง "แผ่นดิน" มาทำหมันหรือตัดตอน จนไม่สามารถปกป้อง SET INDEX ได้ ซึ่งในขณะนี้ก็ยังไม่มีหุ้นตัวไหนที่จะมีโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ Technology และมีมาร์เก็ตแคปใหญ่พอที่ผู้ลงทุนสถาบันสามารถซื้อทดแทนได้เลย
อยากฝากบทความนี้ไว้ให้ผู้ใหญ่ไว้พิจารณา และไม่อยากเห็น SET INDEX ปรับตัวลงไปมากกว่านี้
ธิติ ภัทรยลรดี