นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร [KKP] กล่าวว่า กลยุทธ์ในปี 68 มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าคุณภาพ เพื่อทำให้พอร์ตสินเชื่อมีเสถียรภาพ ลดต้นทุนด้านเครดิต และบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความท้าทายจากระดับหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังสูง แม้นวทางการเติบโตอย่างระมัดระวังอาจส่งผลให้ขนาดของพอร์ตสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อลดลงในระยะสั้น แต่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวของธนาคารในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืน
KKP วางเป้าสินเชื่อปีนี้กลับมาทรงตัว จากปีก่อนที่หดตัวไปถึง 7.8% โดยจะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีศักยภาพและเติบโตสอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวก และกลุ่มลูกค้าที่ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มโรงแรมที่เติบโตไปกับภาคท่องเที่ยว และเป็นกลุ่มที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าเพิ่มขึ้นสูง เพื่อช่วยให้ช่วยธนาคารลดความเสี่ยง และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างโอกาสต่อยอดการเติบโตไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ใหม่ๆ ไม่จำกัดอยู่ในประเทศเพียงอย่างเดียว ซึ่งธนาคารก็มีความพร้อมสนับสนุนการเติบโตของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว
ส่วนสินเชื่อที่ให้กับผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์จะมีการพิจารณาโครงการที่มีศักยภาพ และมีหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าสูง เพื่อกระจายความเสี่ยง และยังคงปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แต่จะระมัดระวังและไม่เร่งปล่อยมาก เพราะมองว่าความต้องการซื้อรถยังมีอยู่ ขณะที่ธนาคารก็ยังติดตามสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ และราคาขายรถยนต์มือสองอย่างใกล้ชิด แม้ว่าราคารถยนต์มือสองจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4/67 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นการปรับเพิ่มขึ้นตามเทรนด์หรือเป็นไปตามโมเมนตัมที่เกิดขึ้นจริง
"สิ่งที่จะทำให้เรากลับมามั่นใจและกลับมารุกปล่อยสินเชื่อได้ ก็ต้องดูที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งจากที่ดูตอนนี้ก็ยังต้องมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออยู่ และก็เลือกลูกค้าดีๆเข้ามาในพอร์ต" นายอภินันท์ กล่าว
ขณะที่แนวโน้มการตั้งสำรองฯของธนาคารในปี 68 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากในช่วงปลายปี 67 ธนาคารได้ลูกค้าที่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีเข้ามาในพอร์ตเป็นจำนวนมาก ทำให้แนวโน้มการตั้งสำรองฯจะเห็นการปรับตีวลดลง และจะชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 68 ประกอบกับสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารคาดว่าจขอยู่ในช่วง 2.20-2.40% ในปี 68 จากปีก่อนที่ 2.30%
KKP คาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ในปีนี้จะทรงตัวอยู่ที่ 4.8-4.9% ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจัยหนุนจะมาจากการที่ธนาคารเดินหน้าในกลุ่มลูกค้า Private Wealth มากขึ้น โดยตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUA) เพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาท ในปี 68 จากปี 67 ที่ 9 แสนล้านบาท โดยที่จะยังเดินหน้าแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพอร์ตของลูกค้าที่ธนาคารดูแล เพื่อสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมเข้ามา รวมถึงยังมีงานด้านวาณิชธนกิจอื่นๆที่เข้ามา แต่ในส่วนของการทำ IPO ให้กับลูกค้าขออ KKP นั่นไม่ได้มีการทำ IPO มาแล้วราว 2-3 ปี ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังไม่ดี