นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงประเด็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การออกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อกฎหมาย และเงื่อนไขต่าง ๆ ในการโยกเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุ และนักลงทุนที่ไม่อยากขายเพราะขาดทุน เข้าสู่กองทุน ThaiESG ซึ่งจะตั้งเป็นกองใหม่ เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง
โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี ขณะที่สัดส่วนในการลงทุนอยู่ระหว่างการศึกษา แต่คาดว่าจะเน้นลงทุนหุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษา ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็ว ๆ นี้
"หน่วยงานกำลังเร่งพิจารณาขั้นตอน และกระบวนการต่าง ๆ โดยยืนยันว่า จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด คาดว่าจะมีความชัดเจนไม่เกินเดือน ก.ย. 2568" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ ส่วนกระบวนการ และวิธีการโอนหน่วยลงทุนว่าจะดำเนินการอย่างไร ยังต้องขอพิจารณารายละเอียดในข้อกฎหมายก่อน
"หลักคิด คือ ปกตินักลงทุนจะมอง 2 เรื่อง คือผลประโยชน์ด้านภาษี และผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อขายหน่วยลงทุน แต่วันนี้ ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวลดลงพอสมควร สะท้อนว่านักลงทุนที่ถือ LTF จะยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่ แต่อาจจะขาดทุนจากการขายหน่วยลงทุน ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงจะเปิดกองทุน Thai ESG ขึ้นมาอีกกองทุนหนึ่ง แปลว่า นักลงทุนจะยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่ และยังสามารถชะลอการขายหน่วยลงทุนได้ เพื่อให้มีเวลาในการเลือกว่าจะลงทุนอะไร ซึ่งการลงทุนก็จะอิงบริษัทที่มีการลงทุนใน ESG ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่" นายพิชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณาออก Tokenization Bond ซึ่งจะเป็นการซื้อขายเปลี่ยนมือผ่านแพลตฟอร์ม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยหลักคิดของการออก Tokenization Bond เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการกู้เงินตามปกติของรัฐบาล เพื่อใช้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และรีไฟแนนซ์หนี้เก่า ซึ่งที่ผ่านมา การออกพันธบัตรของรัฐบาลจะขายให้แก่นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ และขายให้บุคคลทั่วไปบ้าง
เบื้องต้น คาดว่าจะทดลองระบบจำหน่าย Tokenization Bond เป็น Sand Box วงเงินราว 5,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะมีการประเมินทิศทางตลาดและการตอบรับว่าเป็นอย่างไรต่อไป ส่วนรายละเอียดนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา และจะต้องมีการสรุปวิธีการ ขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมด และรายงานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณา
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนแก้ไขกฎหมายเพื่อจูงใจให้นักลงทุนไทยที่นำเงินไปลงทุนประกอบกิจการในต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้น สามารถนำเงินรายได้ หรือกำไรกลับเข้ามาในประเทศอย่างสะดวกมากขึ้น แต่ยังไม่อยากให้นำไปพูดว่าการแก้ไขครั้งนี้เพื่อให้ผู้ที่นำเงินกลับเข้ามาในประเทศไม่ต้องเสียภาษี เพียงแค่อยากทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร ให้มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น
"ปัจจุบัน มีคนนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศเยอะมาก แต่ยังไม่ยอมนำกลับเข้ามาในประเทศ ซึ่งก่อนหน้านั้น ไทยได้เคยมีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้ไปแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของ OECD คือความเสมอภาคกันทั้งโลกในการเสียภาษี แต่ที่ผ่านมา ด้วยมาตรการหรือประกาศของบางรัฐบาลที่ว่าเรื่องนี้เอา เรื่องนี้ไม่เอา ทำให้หลายเรื่องไม่สอดคล้องกัน จนเกิดเป็นผลเสีย จึงจำเป็นที่จะต้องนำเรื่องนี้กลับมาทบทวนอีกครั้ง ว่าเราจะเดินหน้าอย่างไร หรือจะทำอย่างไร แต่ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่ใช่การยกเว้นภาษีจากการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศแน่นอน เป็นแค่การทบทวนว่า จะทำอย่างไรให้นำเงินกลับเข้ามาง่ายขึ้นเท่านั้น" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ
นอกจากนี้ รัฐบาลมีแนวคิดชักชวนบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากปัจจุบันไทยมุ่งเน้นการชักชวนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศอยู่แล้ว ดังนั้นจะมีการพูดคุยเจรจา เพื่อให้บริษัทต่างประเทศ ตั้งศูนย์วิจัยในไทย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ในไทยได้ต่อเนื่อง นำไปสู่การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สะดวกต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์บริษัทนั้น ๆ มากขึ้น และตลาดหุ้นไทยก็จะมีบริษัทที่มีคุณภาพเข้ามาเพิ่ม