นางศศิเนตร พหลโยธิน รักษาการประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี [AIT] เปิดเผยว่า ในปี 68 บริษัทฯ ตั้งเป้าทำรายได้แตะที่ระดับ 6,800 ล้านบาท ถือเป็นการตั้งเป้าแบบคอนเซอร์เวทีฟ (Conservative)
พร้อมรักษาระดับการทำอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย 7-8% ภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจใน 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.) ขยายฐานลูกค้าสร้างการเติบโตของรายได้ 2.) สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าหรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทฯ 3.) พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการทำงานที่ท้าทาย 4.) พัฒนาระบบภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และ 5.) ขยายธุรกิจที่สร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ปัจจุบัน AIT มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 13 ก.พ.68 อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท รวมถึงจำนวนมูลค่างานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Waiting for P/O) อีกจำนวน 80 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นางศศิเนตร กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปี 2568 คาดว่าการลงทุนในธุรกิจ System Integrator (SI) จะยังทรงตัว อย่างไรก็ตาม โอกาสการเติบโตที่สำคัญมาจากนโยบายภาครัฐฯ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ดิจิทัลของภาครัฐฯ ที่เน้นการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government), โครงสร้างพื้นฐาน Cloud และ Cybersecurity รวมถึงการลงทุนใน Smart City และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชนชน ขณะที่ในส่วนของนโยบาย Cloud First ของภาครัฐฯ ยังเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้หน่วยงานรัฐเปลี่ยนไปใช้ Government Cloud มากขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมให้บริษัทฯ ได้เข้ารับงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 67 บริษัทฯ มีรายได้จากงบเฉพาะกิจการอยู่ที่ 7,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากงบเฉพาะกิจการอยู่ที่ 6,514 ล้านบาท นับเป็นการสร้างสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา ด้วยผลสำเร็จจากการบริหารและดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 573 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 497 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมา งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐประจำปี 2567 ที่มีการอนุมัติล่าช้าทำให้โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เคยถูกชะลอการลงทุนได้เริ่มเข้ามาในปี 2567 ประกอบกับโครงการที่อยู่ในปีงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ก็ผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกันยายน 2567 และมีการเบิกจ่ายเงินลงทุนแล้วบางส่วน ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการรับรู้งานโครงการจากทางภาครัฐเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ บอร์ดฯ ได้มีมติเห็นควรให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 68 ในวันที่ 4 เม.ย.68 เพื่อพิจารณาอนุมัติวาระการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน (Voluntary Partial Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นเดิมของ AIT โดย บมจ. เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส [TKC] ไม่เกิน 153,641,557 หุ้น หรือคิดเป็น 10.00% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 5.20 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 798,936,096.40 บาท
อย่างไรก็ตาม หากได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น AIT จะทำให้ TKC ถือหุ้นใน AIT เป็นสัดส่วนไม่เกิน 34.90% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (หลังธุรกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้น) ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจให้มากขึ้น จากการเป็น Strategic Partner ในการดำเนินธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจร หรือ System Integrator (SI) พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการโซลูชั่นด้านดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานไอที รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในการเข้าสู่ยุคของ AI และ Digital Transformation อย่างไรก็ตาม การบริหารงานจะอยู่ภายใต้โครงสร้างการบริหารของทีมผู้บริหารชุดเดิมที่ยังคงทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการดำเนินงานและบริหารงาน ทั้งนี้ เพื่อก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศไทย