ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 199.48 จุดหลังราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $129

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 21, 2008 06:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 200 จุดเมื่อคืนนี้ (20 พ.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นทะลุระดับ 129 ดอลลาร์/บาร์เรล และหลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 199.48 จุด หรือ 1.53% แตะระดับ 12,828.68 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 13.23 จุด หรือ 0.93% แตะระดับ 1,413.40 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 23.83 จุด หรือ 0.95% แตะระดับ 2,492.26 จุด
ปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.2 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2 พันล้านหุ้น
นักลงทุนเทขายทำกำไรอย่างหนักหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กทะยานขึ้น 2.02 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 129.07 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประธานกลุ่มโอเปคกล่าวว่า โอเปคจะไม่เพิ่มผลผลิตก่อนการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในเดือนก.ย.
กระแสความวิตกกังวลเรื่องเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นเมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PPI เดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 0.2% และดัชนี PPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 0.4% ทั้งนี้ หากเทียบเป็นรายปี ดัชนี PPI พื้นฐานเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 3% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปี 1991 เป็นต้นมา
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PPI จะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนมี.ค. ขณะที่ดัชนี PPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน อาจเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งเท่ากับในเดือนมี.ค.
ไมเคิล โมราน หัวหน้านักวิเคราะห์จากไดวา ซิเคียวริตีส์ อเมริกา ในนิวยอร์ก กล่าวว่า "การที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงทำให้บริษัทภายในประเทศไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าให้สูงพอที่จะครอบคลุมต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตัวเลขกำไรของบริษัท"
สตีเฟ่น ลี้บ นักวิเครราะห์จากแคปิตอล เมเนจเมนท์ กล่าวว่า "ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อคืนนี้ ประกอบกับดัชนี PPI พื้นฐานที่พุ่งขึ้นเกินคาด ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค และมีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) แล้ว"
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากนางเมเรดิธ วิทนีย์ นักวิเคราะห์ของออพเพนเฮเมอร์ แอนด์ โค คาดการณ์ว่า วิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่ออาจยืดเยื้อไปจนถึงปี 2552 หรืออาจจะมากกว่านั้น พร้อมกล่าวว่า สถาบันการเงินรายใหญ่อย่างเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และซิตี้กรุ๊ป อาจต้องตั้งเงินสำรองไว้สูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อรับมือกับการขาดทุน และคาดว่าในปลายปีหน้าสถาบันการเงินเหล่านี้อาจต้องตั้งเงินสำรองหนี้สูญไว้อีก 1.70 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวฉุดหุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลง 3.8% และหุ้นเจพีมอร์แกน ดิ่งลง 5%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ