EBITDA ในปี 68 คาดว่าจะเติบโตอยู่ในช่วง 8-10% ที่จะได้รับประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนจากค่าคลื่นความถี่ และได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางบัญชีบางประการ คือ
- การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคลื่นความถี่ร่วมกับ NT ซึ่งปัจจุบันรับรู้เป็นทั้งรายได้และต้นทุน โดยมีผลกระทบเชิงลบสุทธิต่อ EBITDA เมื่อข้อตกลงนี้สิ้นสุดในวันที่ 3 ส.ค. 68 การจัดการคลื่อนความถี่กังกล่าวจะถูกบันทึกเป็นการซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่หลังการประมูล และจะถูกตัด จำหน่ายเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนในภายหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวต่อ EBITDA เพิ่มขึ้น 1.7 พันล้านบาทต่อไตรมาส ซึ่งการจ่ายชำระเงินจะเป็นไปตามข้อกำหนดของ กสทช.
- การโอนสินทรัพย์ไปยังกองทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล (DIF) หลังจากข้อตกลงการใช้คลื่นวามถี่ 850 MHz กับ NT หมดอายุซึ่งจะส่งผลบวกต่อ EBITDA จำนวน 600 ล้านบาทต่อไตรมาส และมีผลกระทบเชิงลบต่อรายได้ภายใต้ EBITDA จำนวน 800 ล้านบาทต่อไตรมาส ในปี 68 คาดว่าหนี้สินจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 หมื่นล้านบาทและจะค่อยๆ ลดลงในภายหลังจากการชำระหนี้สินตามสัญญาเช่า อย่างไรก็ตามผลกระทบในส่วนนี้จะยังไม่ก่อให้เกิดภาระเงินสดผูกพันใหม่สำหรับ TRUE
สำหรับเงินลงทุนในปี 68 คาดจะอยู่ที่ประมาณ 2.8-3.0 หมื่นล้านบาท
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) TRUE กล่าวว่า ปี 67 เป็นปีที่สำคัญเพราะพลิกกลับมามีกำไรภายหลังการปรับปรุงตั้งแต่ไตรมาสแรกอย่างเกินความคาดหมาย ซึ่งการขับเคลื่อนต่อเนื่องนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ทำให้ EBITDA เติบโตติดต่อกัน 8 ไตรมาส พร้อมกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส โดยปี 67 มีกำไรภายหลังการปรับปรุง 9.9 พันล้านบาท มาจากไตรมาส 4/67 จำนวน 3.6 พันล้านบาท
รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC ดีขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมา (YoY) โดยรายได้จากการให้บริการทั้งปี 67 เติบโต 4.6% สูงกว่าแนวโน้ม การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการให้บริการมาจากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และการปรับสมดุลการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ รายได้รวมเติบโต 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของ ARPU ในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ถูกลดทอนบางส่วนจากรายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง เนื่องจากการปรับลดเงินสนับสนุนค่าเครื่องโทรศัพท์
สำหรับไตรมาส 4/67 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 7.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนเครือข่ายลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการควบรวมในหลายด้าน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย การริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ และประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
TRUE บันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.8 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาส 4/67 EBITDA เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยภาพรวมปี 67 EBITDA เพิ่มขึ้น 14.5% มาจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ ผลประโยชน์จากการควบรวม และวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.6% ในไตรมาส 4/67
ในไตรมาส 4/67 บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 1.11 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 7.5 พันล้านบาท รายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดเกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและสินค้าคงเหลือ การด้อยค่าประจำปีของค่าความนิยมและเงินลงทุน และผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดสำหรับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายหน่วยงานท้องถิ่นในปี 68 เมื่อปรับปรุงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 451 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
นามนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร TRUE เปิดเผยว่า ปี 2567 แม้เป็นปีที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งความสำเร็จมาจากการขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ ประการแรก การเร่งดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย โดยปรับปรุงเครือข่ายแล้วเสร็จมากกว่า 77% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน และเมื่อเราบรรลุเป้าหมาย 100% กลางปี 2568 ที่จะถึงนี้ จะทำให้โครงการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยที่รวมเครือข่ายระดับประเทศสองเครือข่ายเป็นหนึ่งเดียว สามารถสร้างประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ทั้งลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคได้สัมผัสประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างชัดเจน
ประการที่สอง การเสริมความแข็งแกร่งด้วยพันธมิตรระดับโลกเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และประการที่สาม การนำประโยชน์จาก AI และการวิเคราะห์ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการเติบโต เรายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งนอกจากความสำเร็จด้านธุรกิจแล้ว เรายังภูมิใจที่ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในกลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก โดยเป็นอันดับที่ 1 ในดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า เรามั่นใจว่าในปี 2568 จะส่งมอบเครือข่ายที่ดีที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของเรา พร้อมคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรากำลังยกระดับการบริการลูกค้าด้วยการนำ AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทั้งการแนะนำบริการที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย การให้ความช่วยเหลือทันทีโดย ?มะลิ? ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเสมือน และการสนับสนุนพนักงานขายและคอลเซ็นเตอร์ด้วย AI co-pilots ในปี 2568 เรามีเป้าหมายเพิ่มผู้ใช้บริการดิจิทัลจากหนึ่งในสามเป็น 40% และขยายฐานผู้ใช้ดิจิทัลเป็น 20 ล้านราย แอปพลิเคชันบริการหลังการขายที่ปรับปรุงใหม่ของเราจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบบิล รับสิทธิประโยชน์ และรับบริการ AI ครบได้ในที่เดียว ทั้งนี้ ปี 2568 จะเป็นปีที่สร้างกำไร พร้อมส่งมอบความประทับใจให้ลูกค้าผ่านความสำเร็จของทรู
ในไตรมาส 4/2567 จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้น 116,000 เลขหมาย หรือ 0.2% จากไตรมาสที่ผ่านมา มีจำนวน 49.4 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขภายหลังจากการลดลงของผู้ใช้บริการ 133,000 เลขหมายจากความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฉ้อโกง ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 15.2 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินมีจำนวน 34.2 ล้านเลขหมาย ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน 13.8 ล้านเลขหมาย
ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับปี 2567 และไตรมาส 4/2567