นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ [NER] เปิดเผยว่า แนวโน้ปริมาณขายไตรมาส 1/68อาจลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/67 สอดคล้องกับรายได้ลดลง 6-7% แต่ยังมั่นใจว่าปริมาณขายยางทั้งปีจะทำได้เข้าเป้า 500,000 ตัน หนุนรายได้แตะ 34,000 ล้านบาท ด้าน NET Margin ยังคงรักษาระดับไว้ที่ 6-7% โดยมองว่าแนวโน้มราคายางพารายังเป็นขาขึ้นต่อเนื่องไปอีก 5 ปี และยังมีดีมานด์เข้ามาอย่างสม่ำเสมอเพื่อตอบสนองการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
ในปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายกลุ่มลูกค้าอินเดียมากขึ้นจากเดิมที่เน้นลูกค้าในประเทศจีนเป็นหลัก เนื่องจากดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิต (PMI) ของอินเดียพุ่งสูงใกล้แตะระดับ 60 สะท้อนดีมานด์เพิ่มขึ้น ซึ่งปี 67 บริษัทได้เชิญลูกค้าอินเดียที่เป็น Top5 มาเยี่ยมชมการผลิตที่โรงงานหลายราย และในปีนี้จะมีลูกค้าอินเดียอีก 2 รายเข้ามา เชื่อว่าสัดส่วนลูกค้าอินเดียตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปจะเพิ่มเป็น 15% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่กลุ่มลูกค้าจีนจะมีสัดส่วนลดลง เพื่อบริหารพอร์ตลูกค้าให้ดีขึ้น
สำหรับดีมานด์จากฝั่งจีน มีการนำเข้ายางแผ่นรมควัน (RSS) และ ยางผสม (Mixed) เพิ่มมากขึ้นในปี 67 ซึ่งยาง RSS ถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้รอบความเร็วค่อนข้างสูง อาทิ ล้อยางเครื่องบิน ล้อยางรถยนต์ไฟฟ้า
ด้านประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน บริษัทค่อนข้างมีความกังวลผลกระทบ เนื่องจากสหรัฐได้มีการปรับขึ้นภาษีสินค้าล้อยางรถยนต์ส่วนบุคคล 17% ขณะที่ล้อยางรถขนาดใหญ่ หรือรถขนส่งที่เกี่ยวกับโลจิสติก ปรับขึ้นราว 26-27% ซึ่งประเด็นดังกล่าวกระทบกับบริษัทในระดับหนึ่ง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ รวมทั้งภาษีล้อรถยนต์ส่วนบุคคลของไทยปรับขึ้นน้อยกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่ถูกเรียกเก็บภาษีมากถึง 24-25%
ขณะที่แนวโน้มราคายางยังเป็นขาขึ้นเนื่องจากซัพพลายแต่ละประเทศผู้ผลิต ทั้งไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับการส่งออก ซึ่งไทยส่งออกยางลดลงเฉลี่ย 5% ต่อปี อินโดนีเซียลดลง 9.4% ขณะที่ประเทศเกิดใหม่อย่าง โกตดิวัวร์ (Cote d'Ivoire) เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% ต่อปี ซึ่งบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ในประเทศดังกล่าวแล้ว
โดยบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานยางแท่งเฟส 3 (STR3) หนุนกำลังการผลิตเพิ่มอีก 320,000 ตัน โดยใช้งบลงทุน 2,059.34 ล้านบาท แหล่งเงินทุนมาจากกำไรสะสมและเงินกู้จากธนาคาร ซึ่งคาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จ พ.ค. 69 และเริ่มผลิตในไตรมาส 3/69 ทั้งนี้หลังขยายโรงงานเสร็จจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมแตะ 835,600 ตันในปี 70 และประมาณปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 670,000 ตัน จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยกำลังการผลิตปัจจุบันของบริษัทอยู่ที่ 515,600 ตัน
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดการณ์สินค้าแผ่นยางสำเร็จรูปในปี 68 จะสร้างยอดขายได้ราว 30 ล้านบาท โดยยังมุ่งเน้นขายสินค้าแผ่นปูรองสำหรับปศุสัตว์ที่ใช้กับฟาร์มหมูและฟาร์มวัว และปีนี้บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นแผ่นรองนอนสำหรับสุนัขที่ใช้ในโรงพยาบาลสัตว์