นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ "สงครามการค้า?หายนะ หรือโอกาสพลิกชีวิต" ระบุตลาดหุ้นไทยในช่วง YTD ปีนี้ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลก ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้ DBS CIO ลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นโลกเป็น "Neutral" ยกเว้นตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังคง "Overweight"
นโยบายทรัมป์ มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และทำให้ปริมาณการค้าโลกลดลง โดยคาดว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่ถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้า หรือเก็บในอัตราที่ต่ำกว่า ส่วนตลาดทุนและตลาดเงินจะผันผวนมากขึ้น
ส่วนผลดีต่อไทย จะเพิ่มโอกาสขยายตลาดส่งออกไปสหรัฐ โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำกว่า/หรือไม่ถูกเรียกเก็บ ขณะที่ผู้ประกอบการในสหรัฐอาจมองหาซับพลายเออร์จากไทยแทนจีน แคนาดา และเม็กซิโกโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงน่าจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทจีน
ทั้งนี้ไทยอาจได้รับผลกระทบทางลบ ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลออาจฉุดส่งออกไทย สินค้าจากจีนมาตีตลาดไทย ผลกระทบการเมืองระหว่างประเทศจากการที่ไทยถูกกดดันให้เลือกข้าง และอาจถูกจับตามองจากสหรัฐ หากสินค้าจีนมาผลิตหรือประกอบที่ไทยแล้วส่งออกไปสหรัฐ
อย่างไรก็ตามมองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 ยังมีปัจจัยกระตุ้นจาก มาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่หนุนการบริโภค (โครงการ Easy E-Receipt, แจกเงินหมื่นบาท ฯลฯ) ภาคท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง ภาครัฐและภาคเอกชนลงทุนมากขึ้น รวมถึงการย้ายฐานการผลิตมาไทย (China+1) และการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับดิจิตอล
ส่วนปัจจัยเสี่ยง มาจากหนี้ภาคครัวเรือนยังคงสูงมาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างจำกัดการเมืองในประเทศเข้ามากดดันเป็นระยะ ค่าเงินบาทผันผวน ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ ทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยอ่อนแอลง และไทยอาจเสียภาษีนำเข้าไปสหรัฐเพิ่มในบางสินค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่จะมีผลต่อราคาพลังงาน และภาคส่งออก รวมถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวนก็มีผลต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของบางอุตสาหกรรมตามโยบายของรัฐบาลและระเบียบของโลก การปรับโครงสร้างองค์กร ปรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจและการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาด เพื่อรองรับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของโลก ยังผลให้ราคาหุ้นบางกลุ่มอุตสาหกรรม และราคาหุ้นเฉพาะตัวมีความผันผวนด้วย
นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวอีกว่า บล.ดีบีเอส คาดการณ์กำไรตลาดหุ้นไทยปี 2568 โต 11% จากฐานที่ต่ำในปี 2567 โดยให้เป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,440 จุด มีอัพไซด์ 10% เมื่อเทียบจากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยให้ค่าพี/อีอยู่ที่ 16.3 เท่า ส่วนปี 2569 ให้เป้าหมายดัชนีที่ระดับ 1,540 จุด ทั้งนี้ Downside risk คือ กำไรตลาดหุ้นเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และความเสี่ยงในตลาดสูงเกินกว่าที่ประเมินไว้ทำให้ต้องลดเป้าหมาย P/E ลง
อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น 1-2 เดือนข้างหน้า มีปัจจัยสำคัญที่ติดตาม คือ การประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าและภาษีตอบโต้ของทรัมป์กับประเทศต่างๆ ในต้นเดือน เม.ย. 2568 ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและอัตราเงินเฟ้อหลังทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดี การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ส่วนปัจจัยที่ควรระวัง คือ ผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงปลายเดือนก.พ. และเดือนมี.ค. 2568 ซึ่งเหล่านี้อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนได้
สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ 4 ธีมการลงทุน และ 10 หุ้นเด่นสำหรับปี 2568 โดยธีมแรก เป็นอัตราดอกเบี้ยในประเทศลดช้า & การลงทุนฟื้นตัว ส่วนหุ้นเด่นเป็น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น BBL, KTB, TTB, KBANK ส่วนธีม 2 คือ ท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง & มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มเติม หุ้นเด่นเป็น กลุ่มโรงแรมและอาหาร คือ MINT, ERW สำหรับธีม 3 ยก China+1 & New S-Curve หุ้นเด่นเป็น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม คือ AMATA ส่วนธีมที่ 4 ดาต้าเซ็นเตอร์ & บริการคลาวด์ หุ้นเด่นเป็น กลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า ความปลอดภัยทางไซเบอร์ หุ้นเด่น ADVANC, GULF & INTUCH
ด้านนายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองประเด็นเรื่องสงครามการค้าพึ่งชกกันหมัดแรก ยังต้องรอดูยก 2 ยก 3 ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ผ่านมาเริ่มชะลอตัว ส่วนด้านเงินเฟ้อทยอยเพิ่ม PCE ของสหรัฐล่าสุดสูงสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งยังไม่ได้รับรู้ผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้า ส่วน Reciprocal tariff มีโอกาสเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อช่วงถัดไป เฟดมีโอกาสชะลอการลดดอกเบี้ยหรือหากแย่มากในระยะยาวอาจจะเป็นขึ้นดอกเบี้ยแทน
แนวโน้ม SET50 รอลุ้นหาจุดกลับตัว แต่ตอนนี้ยังแกว่งทางลง ซึ่งมีแนวรับหลักที่ 1225-1200 และ 1130 ที่ปกติจะมีช่วงดีดกลับมากพอควร รอลุ้นสัญญาณการเกิด Divergence หลัง RSI ทำจุดต่ำสุดที่ลึกมีลุ้นการเกิด แต่ RSI ต้องไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่
ทองคำ หากยืนเหนือ 2950 ได้ มีแนวต้านหลักถัดไป 2988/3040 ที่ต้องระมัดระวังการชะลอตัว การลงอย่าหลุด 2860-2850 หากลงหลุดต่ำกว่าจะกลับมาแกว่งตัวลง มีแรงซื้อจากความเสี่ยงทรัมป์ แต่ระยะกลาง-ยาว หากเฟดคุมเงินเฟ้อขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นความเสี่ยง
ค่าเงินบาท ที่บริเวณ 33.10-33 มีลุ้นเด้งสั้น ทิศทางหลักอิงทางแข็งค่าหลังดอลลาร์กลับไปอ่อน การขึ้นกำแพงภาษีตอนนี้ยังไม่มากเท่ากับตอนที่ทรัมป์หาเสียง ช่วยลดขาดดุลการค้าได้ไม่มากพอ การประชุมกนง. หากลดดอกเบี้ยบาทอาจอ่อนค่าสั้น