นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ [TFM] เปิดเผยว่าในปี 68 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 8-10% จากปีก่อน ซึ่งมาจากการเติบโตจากธุรกิจการผลิตและจำหน่ายอาหารกุ้งและอาหารปลากะพงทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาที่ระดับ 18 - 20% เน้นขายสินค้นที่มีกำไรสูง รวมถึงควบคุมต้นทุนการผลิตให้ดีต่อเนื่อง
โดยกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทในปีนี้ ประกอบด้วยการมุ่งเน้นการขยายตลาดในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท โดยจะขยายกลุ่มลูกค้า Direct Farm ซึ่งยังมีพื้นที่อีกหลายพื้นที่ที่ยังสามารถขยายได้ และขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 26% ขณะที่ธุรกิจในอินโดนีเซีย ปีที่ผ่านมายอดขายเติบโต 100% ทุกไตรมาส ซึ่งในปีนี้จะขยายกำลังการผลิตในอินโดนีเซียเต็มกำลัง และตั้งเป้าขึ้นเป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำในตลาดอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์ในการขยายสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มยอดขาย โดยปีนี้บริษัทมีแผนที่จะส่งออกไปในหลายประเทศ รวมทั้งสินค้าที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ซึ่งไม่ได้ขายเฉพาะในไทย จากนี้ไปจะเติบโตในต่างประเทศ หนุนท็อปไลน์และรายได้ โดยจากกลยุทธ์ทั้งหมดบริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย
ปีนี้บริษัทตั้งงบ 300 ล้านบาทเพื่อลงทุนภายใต้การส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่มีการเลื่อนการลงทุนมาจากปีที่แล้ว โดยจะใช้ลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งจะทำให้บริษัทประหยัดภาษีได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะที่มาตรการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำของโลก (Global Minimum Tax) ในฐานะที่บริษัทเป็นส่วนหนึ่งของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] เข้าข่ายเกณฑ์กฎกติกาดังกล่าว อย่างไรก็ตามบริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนและข้อเสนอต่าง ๆ จากภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนช่วงกลางปีถึงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามจำนวนที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มไม่ได้มากนัก ประมาณ 10-11% ของกำไรก่อนหักภาษี
สำหรับผลประกอบการในปี 67 บริษัท ทำยอดขายได้ 5,365 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% จากปีก่อนหน้า จากการควบคุมต้นทุนการผลิต การปรับกลยุทธ์การขายสินค้า และการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ สัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็นยอดขายอาหารกุ้ง 62% อาหารปลา 30% อาหารสัตว์บก 7% และอื่นๆ ประมาณ 1% โดยอาหารกุ้งเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี โดยเพิ่มขึ้น 18 % จากปีก่อน โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียที่ยอดขายปรับตัวขึ้นถึง 127% จากการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการขยายพื้นที่การขายสินค้าให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ขณะที่ยอดขายอาหารกุ้งในประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอาหารกุ้งในประเทศ ในขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารปลาลดลง 6% เนื่องจากปริมาณการเลี้ยงปลากะพงที่ลดต่ำลงระหว่างปี อย่างไรก็ดี ปัจจุบันราคาปลากะพงปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ปริมาณการเลี้ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งขยายตลาดในกลุ่มอาหารปลาน้ำจืดเพิ่มเติม เช่น อาหารปลานิล ปลาทับทิม ปลาสลิด เป็นต้น เพื่อขยายฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงผ่านการบริหารพอร์ตสินค้า