บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร [CPF] แจ้งผลกระทบการปี 67 พลิกมีกำไร 19,558 ล้านบาท พลิกจากปี 66 ที่มีผลขาดทุน 5,207 ล้านบาท จากกิจการต่างประเทศช่วยผลักดันกำไรทะลุเป้า รับอานิสงส์การปรับสมดุลของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น คาดการณ์ปี 68 ผลการดำเนินงานดีต่อเนื่อง พร้อมเสริมแกร่ง "นวัตกรรมความยั่งยืน" ติด Top1% S&P Global CSA score (DJSI)
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF ระบุว่า ปี 67 บริษัทมียอดขาย 580,747 ล้านบาท สัดส่วนรายได้หลักมาจากกิจการต่างประเทศ 63% จากการลงทุนใน 13 ประเทศ สัดส่วนรายได้จากกิจการประเทศไทย 31% และสัดส่วนรายได้จากกิจการส่งออก 6% จากการทำการค้าผลิตภัณฑ์อาหารไปมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ หากแยกสัดส่วนรายได้ตามประเภทธุรกิจหลัก แบ่งเป็น ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) คิดเป็นสัดส่วน 23% ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ คิดเป็น 55% และธุรกิจอาหาร คิดเป็น 22%
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการในปี 67 ดีเกินเป้าหมายเป็นผลหลักมาจากกิจการต่างประเทศมีการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ดีอย่างชัดเจน จากการปรับสมดุลของปริมาณผลิตให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ ทำให้อุตสาหกรรมสุกรฟื้นตัวจากภาวะราคาตกต่ำที่เกิดจากสินค้าล้นตลาดในปี 66 โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามที่ดีขึ้นเกินเป้าหมายจากภาวะราคาสุกรที่สูงขึ้นจากผลกระทบโรคระบาด ASF ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ประกอบกับการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ การบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์และการจัดหาวัตถุดิบที่ดีขึ้น การจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากปีก่อน เหล่านี้ทำให้บริษัทมีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจากปีก่อน
"แนวโน้มธุรกิจซีพีเอฟในปี 68 ยังมองว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตจากปีก่อนได้ต่อเนื่อง จากการที่บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมทั้งการพัฒนาสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความพึงพอใจของผู้บริโภค และมองหาโอกาสการลงทุนที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก ตลอดจนส่งเสริมนวัตกรรมความยั่งยืน (Sustainovation) เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจที่สามารถสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ดั่งสะท้อนจากการที่บริษัทได้รับประเมินความยั่งยืนองค์กรที่ระดับ Top 1% โดย S&P Global หรือเดิมที่รู้จักกันในชื่อ DJSI"
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการดำเนินงานทุกด้านอย่างใกล้ชิด อาทิ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 ว่าจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างไร ปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนโรคระบาดสัตว์ที่มีการแพร่กระจายอยู่ในต่างประเทศหลายประเทศ ซึ่งทางบริษัทได้เพิ่มมาตรการดูแลป้องกันผลกระทบอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหารในแต่ละประเทศ