นางสาวจิราพรรณ ทองตัน หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ซีพี ออลล์ [CPALL] เปิดเผยว่า งบลงทุนในปี 68 ตั้งไว้จำนวน 12,000-13,600 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน แบ่งเป็นการขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ 7-11 จำนวน 3,800-4,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,000 ล้านบาท โดยสาขาใหม่ที่จะมีขนาดร้านใหญ่ขึ้น โดยตั้งเป้าขยายร้าน 7-11 ในไทย 700 สาขา ในกัมพูชาประมาณ 20-30 สาขา และในสปป.ลาว ไม่เกิน 10 สาขา ทั้งนี้ในสิ้นปี 67 จำนวนร้าน 7-11 มีทั้งหมด 15,245 สาขา แยกเป็นร้าน Stand-alone 86% และร้านในสถานีบริการน้ำมัน PTT 14%
นอกจากนี้มีงบปรับปรุงร้านเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท ลงทุนในโครงการใหม่ 4,000-4,100 ล้านบาท และงบไอทีและสินทรัพย์ถาวร 1,300-1,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ เน้นการขยายร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่เป็น Stand-alone ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมันมากขึ้น เนื่องจากมองเห็นโอกาสที่เป็นร้านแบบ Stand-alone มากกว่าการเช่าตึกแถว ที่ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการจัดหาสินค้านำเสนอสินค้า ขยายพื้นที่ร้านทีเพิ่มหมวดหมู่สินค้ามากขึ้น รวมถึงมีพื้นที่เช่าที่เพิ่มรายได้ โดยร้านค้าที่เข้ามาเช่าจะเป็น Magnet อาทิ ร้านไก่ย่างห้าดาว ร้านขายอาหาร Street Food ที่สามารถแชร์พื้นที่จอดรถกันได้ นอกจากนี้ บริษัท มีโอกาสหาทำเลศักยภาพมากขึ้น โดยที่ผ่านมา ร้าน 7-11 สามารถเช่าที่ดินเปล่าที่พัฒนาเป็นร้าน 7-11 ได้ อย่างไรก็ดี หากมองในแง่ความสามารถทำกำไร ร้านแบบ Stand Alone สู้ร้านที่ที่เป็นตึกแถวไม่ได้ในระยะสั้นแต่ในระยะยาวความคุ้มค่าที่เป็นร้าน Stand Alone มีโอกาสทำกำไรได้ดีกว่า
นางสาวจิราพรรณ กล่าวว่า ในไตรมาส 1/68 กำไรน่าจะมีโอกาสเติบโต Y-Y เพราะในไตรมาส 1/68 รัฐบาลแจกเงินหมื่นบาท มาตรการ Easy E-Recipt ช่วยให้คนเข้าร้าน 7-11 มากขึ้น รวมถึงสินค้าโอท็อป ที่ร้าน 7-11 ก็ขายด้วย นอกจากนี้ยังเห็นอัตราการเติบโตสาขาเดิม (SSSG) ในช่วง 2 เดือนแรกยังเป็นบวกแลในทิศทางยอดขายก็ยังเป็นบวกต่อเนื่องได้ โดยคาดว่าปี 68 SSSG น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่าจีดีพีที่อยู่ 2-3% โดยในปี 67 SSSG โต 3.8%
โดยเฉพาะยอดขายของสินค้ากลุ่มอาหารเติบโตต่อเนื่อง ก็จะเห็นอัตราการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นปี 68 ปรับตัวดีขึ้นจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอัตรากำไรขั้นต้นดีมาก โดยปีนี้ บริษัทยังผลักดันยอดขายอาหารพร้อมทานและเครื่องดื่มพร้อมดื่ม กลุ่มอาหารว่าง กลุ่มอาหารสุขภาพ กลุ่มขนมไทย ที่จะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโต ดังนั้นคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 68-69 มีโอกาสเติบโต 0.2-0.3% ที่ยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่เรามองไว้
นอกจากนี้บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า [CPAXT] ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (ถือหุ้น 62%) ได้ดำเนินการควบรวมกิจการสำเร็จแล้วในไตรมาส 3/67 และในไตรมาส 4/67 มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น และผู้บริหาร CPAXT ได้แสดงความมั่นใจว่าปี 68 จะสามารถปรับอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ดังนั้นในปี 68 CPALL น่าจะมีความพร้อมที่จะผลักดันยอดขายและกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น
หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ CPALL ย้ำว่า ทาง CPALL ไม่เคยพิจารณาการเข้าลงทุนร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว