มองมุมต่าง: "Short sell" แพะรับบาปของการโฆษณาชวนเชื่อที่กำลังทำลายตลาดทุนไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 5, 2025 15:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ความเชื่อที่เป็นจินตนาการของคนบางกลุ่มในตลาดทุน เกี่ยวกับธุรกรรมการขายชอร์ต (Short Selling) ยังถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายทุบตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้ว่าเราจะมีตัวเลขธุรกรรมเชิงประจักษ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานให้ทราบกันอยู่ทุกวัน ทำให้เห็นว่าธุรกรรม Short sell มีค่าเฉลี่ยเพียง 4-5% ของมูลค่าซื้อขายในแต่ละวัน ก็ยังไม่วายที่จะมีคนพยายามเอาข้อมูลชุดเดิมนี้มาวนลูป กล่าวหาว่าการร่วงลงของตลาดหุ้นไทยและหุ้นรายตัวนั้น ตัวการ คือ Short Sell และยังกล่าวหาว่าเกณฑ์ Uptick rule ของทางการ ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ (ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้เรียกร้องเอง)

วาทกรรมเหล่านี้ ถูกใช้พูดวนไปวนมาในกลุ่มคนเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา จนทำให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เห็นข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง และตัวเลขที่รายงานออกมาในแต่ละวัน เชื่อว่ามันคือ "ความจริง"

อย่างล่าสุดมีรายการหนึ่ง ผู้แนะนำการลงทุน หรือกูรูท่านหนึ่ง ออกไปให้ความเห็นว่าตลาดหุ้นไทยลงเพราะอะไร?

สุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องชอร์ตเซล วนไปวนมา จับใจความหลักหาสาระของสาเหตุไม่ค่อยได้

ถึงแม้ตัวเลขการขายชอร์ตจะมีให้ดูอยู่ทุกวัน และมีตัวเลขเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดูเหมือนผู้แนะนำหรือกูรูทั้งหลาย เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากคิด มากกว่าใช้หลักฐาน (ข้อมูล) ที่ควรจะพูดกันบนตัวเลข และหลักการทางสากล อย่างที่ผู้แนะนำการลงทุนที่ดีควรทำ

ในเมื่อชอร์ตเซลมีเพียง 4-5% แล้วที่เหลือเป็นอะไร? คำตอบก็คือ Long sell คือ การขายหุ้นที่มีอยู่ออกมา ขายแล้วขายอีก และเป็นการขายแบบไม่ต้องซื้อกลับด้วย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับการทำ Short sell ที่จะต้องซื้อหุ้นกลับ (Cover short) เพื่อนำไปส่งมอบ

ยกตัวอย่างหุ้น INTUCH ที่ได้ปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง Singtel ที่ขายหุ้นในรูปแบบของ Long sell จำนวน 118.98 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนที่ขายไป 3.71% ของหุ้นทั้งหมด

หากจะวิเคราะห์กันแบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมาก การขายรูปแบบนี้ หรือขายโดยผู้ถือหุ้นใหญ่ในจำนวนที่มาก น่าจะเป็น สาเหตุของการปรับตัวลดลงของหุ้นมากกว่าไหม? เพราะขายแล้ว ไม่มีอะไรมาการันตีว่าต้องซื้อกลับ ขายแล้วเอาเงินออกนอกประเทศและอาจจะไม่กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกต่อไป

          นี่ยังไม่นับ การลดสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่รายอื่นๆ อาทิ กองทุนประกันสังคมที่เคยถืออยู่ 41.03  ล้านหุ้น หรือ          Morgan Stanley & Co. International PLC. ที่เคยถือหุ้นอยู่ 27.95 ล้านหุ้น ซึ่งล่าสุดไม่ปรากฏชื่อทั้งสองรายในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH แล้ว

ทฤษฎี Long sell สามารถนำไปใช้กับหุ้นใหญ่ตัวอื่นๆ ที่ร่วงลงมาและเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่คล้ายๆ กัน คือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ลดสัดส่วน หรือเทขายหุ้นออกมาจนไม่ปรากฏชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ การมี Short sell ที่มีสัดส่วนต่ำแค่ 4-5% เลย

นอกจากนี้ เรามักจะเห็นการอ้างอิงโทษของ Short sell ว่าเป็นภัยร้ายต่อ "ผู้ลงทุนรายย่อย", "ภัยร้ายต่อตลาดหุ้นไทย" โดยนำ เคสของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ที่สั่งห้าม Short sell หรือ แบน Short sell มาเป็นข้อมูลสนับสนุนทฤษฎีนี้ แต่ล่าสุด ทางตลาดหุ้นเกาหลีกำลังยกเลิกการแบนเพื่อนำ Short sell กลับมาใช้อีกครั้งในเดือนมีนาคม 2568 นี้

นั่นแสดงให้เห็นว่า แม้ตลาดที่เป็นขวัญใจเหล่าท่านกูรู "วาทกรรมวนลูป" ชื่นชอบ และยกตัวอย่าง ก็ยังไม่วายต้องถอยการยกเลิก Short sell

ตลาดหุ้นเกาหลี ที่มีความใหญ่และความเก๋ากว่าตลาดหุ้นไทยเยอะ ก็ยังไม่สามารถทนอยู่บนหลักการที่ไม่ได้เป็นตามความสากลของตลาดหุ้นทั่วโลกได้ และจำยอมต้องปล่อยให้กลไกตลาดทำงานอย่างปกติได้อย่างเต็มที่ เพราะท้ายที่สุดก็เป็นนักลงทุนรายย่อยนี่แหละที่ต้องเป็นคนแบกรับความไม่มีประสิทธิภาพของตลาดในรูปแบบของต้นทุนแฝง

นอกจากนี้ ยังมีอีกกลุ่มผู้ลงทุนที่มักจะถูกมองเป็นผู้ร้ายเวลามียอดขายสุทธิออกมาเยอะไม่แพ้ Short sell นั่นก็คือ "กองทุนในประเทศ" ทั้งๆ ที่ผู้บังคับให้ "กองทุน" เทขายหุ้นออกมาจนตลาดพัง คือ คำสั่งจากผู้ถือหน่วยลงทุน

ยกตัวอย่าง การไถ่ถอน (Redeem) หน่วยลงทุนของกองทุนรวมระยะยาว (LTF) ช่วงต้นปีที่ถล่มขายหุ้นออกมาจนดัชนีหายไป เกือบ 200 จุด มาจากคำสั่งของผู้ถือหน่วยลงทุน ทั้งนั้น

ลักษณะของการขายหุ้นก็ขายออกมาในรูปแบบ Long sell เช่นกัน ซึ่งก็มีส่วนที่ทำให้ตลาดหุ้น Underperfom อย่างที่เห็นกันในตอนนี้

สรุปประเด็นเหล่านี้พูดไปอาจจะไม่สนุกปากเท่ากับการโทษ Short sell เพราะ Short sell ด่ากลับไม่ได้ เราคงต้องถามกลับไปที่กูรูทั้งหลายที่เชียร์อยากให้ยกเลิก Short sell ที่มีสัดส่วนอันน้อยนิดอยู่ในตอนนี้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่?

ถ้ามีเจตนาอยากให้ต่างชาติกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประเด็นนี้คงต้องตัดทิ้งไปได้เลย เพราะต่างชาติชอบความเป็นสากล ดังนั้น การแบน Short sell คือ ความไม่สากล

แต่มีประเด็นที่น่าสนใจของการแบน Short Sell นั้น ไม่แน่ใจว่า "อยากจะเอื้อประโยชน์กับคนกลุ่มเล็ก ที่อยากกลับไปปั่นหุ้นด้วยมือ" หรือ ต้องการคุมราคาหุ้นให้ไปในทิศทางที่ต้องการ หรือ เรียกว่า "Corner หุ้น" หรือไม่?

ความหมาย ของ การ Corner หุ้น คือ การซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำไว้ในครอบครองจำนวนมาก และผลักดันราคาให้มีมูลค่าที่สูงเกินความเป็นจริงไปมาก จนทำให้กลุ่มคนที่ Corner หุ้นมีความมั่งคั่ง (Wealth) เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ธุรกรรม Short sell จะช่วยค้นหาราคา (Price Discovery) ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้หุ้นรายตัวเกิดฟองสบู่

"ธุรกรรม Short sell ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการ Corner หุ้น หรือ ปั่นหุ้นได้อย่างง่ายดาย เพราะเมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงเกินความเป็นจริง การมี Short sell จะทำให้เกิดความสมดุล ทำให้การปั่นหุ้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก"

สรุป การมี Short sell ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นไทยพังตามความเชื่อ หรือ จินตนาการ

ยกตัวอย่าง ช่วงที่ตลาดหุ้นไทย ดัชนี 1,600-1,700 จุด ยอดธุรกรรม Short sell รายวันอยู่ที่ประมาณ 20% ของมูลค่าการซื้อขายรายวัน แต่มาวันนี้ดัชนีเหลือ 1,200 จุด ยอดธุรกรรม Short sell อยู่ที่ 4-5% ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าอะไรคือ ภัยร้ายกันแน่!!

หากจะมีข้อโต้แย้งที่ว่า ธุรกรรม Short sell มีสัดส่วนที่น้อยลง แต่มีความแรงมากขึ้น เนื่องจากวอลุ่มตลาดตอนดัชนี 1,600 จุด กับ 1,200 จุดต่างกัน คงจะไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึง คือ จำนวนเปอร์เซนต์ต่อมูลค่าการเทรดในวันนั้น ๆ

อยากฝากให้คิด การไม่มี Short sell คือ การไม่มี bid การอยากจะบิดเบือนให้ตลาดไม่มี bid ก็คือ ไม่มีความมั่นใจ

พอถึงตอนนั้น ทุกคนก็ Long sell หนีตาย เหมือนอย่างช่วงปีที่แล้ว (2567) ต่างชาติ ซื้อหุ้นไทยหมื่นล้านบาท ดัชนีบวกขึ้น +100 จุด ทุกคนก็ดีใจ แต่ลืมไปว่าถ้าเวลาขาลงจะทำอย่างไร ถ้าไม่มี bid รับเพราะไม่มีการ short ไว้ก่อนหน้า จึงทำให้ปีที่แล้วหุ้นไทยขึ้นแบบปราสาททราย

สรุป ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง Short sell จริงๆ ต่อให้ยอดสุทธิของธุรกรรมรายวันลดลงเหลือ 1-2% ก็เชื่อว่ายังคงมีคน เอา"แพะตัวนี้" มาสังเวยอยู่อย่างแน่นอน

ธิติ ภัทรยลรดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ