นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืนองค์กร บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ [HMPRO] เปิดเผยว่า ในปี 68 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 4-5% ซึ่งมาจากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ที่ตั้งเป้าเติบโต 2-3% และการขยายสาขาใหม่ พร้อมตั้งงบลงทุนรวม 6,000-8,000 พันล้านบาทมากกว่าปี 67 ที่มีการลงทุน 4,000 ล้านบาท เพื่อเร่งขยายสาขาใหม่ทั้งโฮมโปร เมกะโฮม และสาขาไฮบริด รวมทั้งสร้างศูนย์กระจายสินค้าแบบอัตโนมัติเพิ่ม
ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 6 แห่ง โดยมี 1 แห่งเป็นแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดจำนวนพนักงานได้อย่างน้อย 30% และปีนี้บริษัทจะสร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติเพิ่มอีก 1 แห่งพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร เก็บสินค้าได้ 70,000-80,000 พาเลท โดยใช้งบลงทุนราว 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จช่วงปลายปี 68 เพื่อรองรับสาขา 170 สาขาใน 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ด้วยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังมีความท้าทาย บริษัทจึงตัดสินใจชะลอการขยายการลงทุนในต่างประเทศ เน้นการเติบโตในประเทศอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้สัดส่วนยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 2% ของยอดขายทั้งหมด
นายรักพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าขยายสัดส่วนสินค้า House Brand เพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วน 21% ให้ไปสู่ระดับ 25% ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยในปี 68 จะทยอยเพิ่มเป็น 22% เนื่องจากสามารถทำอัตรากำไรได้ดีกว่า พร้อมย้ำเป้ายอดขายแตะแสนล้านภายใน 5 ปี หรือภายในปี 71
ขณะที่ภาพรวม 2 เดือนที่ผ่านมา SSSG ชะลอลงเล็กน้อยประมาณ 2-3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาตรการ Easy E-receipt ให้วงเงินลดหย่อนภาษีน้อยกว่าปี 67 รวมทั้งเดือนก.พ.ปีนี้มี 28 วัน ซึ่งบริษัททียอดขายต่อวันเฉลี่ย 200-300 ล้านบาท ทำให้ยอดขายลดลง ดังนั้น ไตรมาส 1/68 คาดว่าผลการดำเนินงานชะลอตัวลง YoY
"แผนธุรกิจปี 68 บริษัทยังมีมุมมองของการเติบโต ซึ่งที่ผ่านมา 3-5 ปี บริษัทมีการเติบโตของกำไรต่อเนื่อง และปี 67 กำไรยังเติบโตได้แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวกำลังซื้อลดลง แต่บริษัทยังเดินหน้าขยายสาขาได้ต่อเนื่อง สำหรับสัญญาณภาพรวมเศรษฐกิจในปี 68 มองว่าผลกระทบดอกเบี้ยระดับสูง เช่นเดียวกับหนี้ครัวเรือน กระทบกำลังซื้อ ซึ่งภาวะดังกล่าวน่าจะคงอยู่ไปสักพัก แต่คงไม่ได้ยาว"นายรักพงศ์ กล่าว
HMPRO ตั้งเป้าการเติบโตด้วยการมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1. ขยายสาขา และโมเดลธุรกิจใหม่ต่อเนื่อง บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ 12 แห่ง ครอบคลุมทั้งโฮมโปร เมกาโฮม และโมเดลไฮบริด โดยเน้นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลากหลาย ตั้งแต่กลุ่มลูกค้าเจ้าของบ้าน ไปจนถึงกลุ่มช่างทั่วประเทศ
2. พัฒนาแพลตฟอร์ม Omni-Channel เชื่อมโยงออนไลน์และออฟไลน์ โฮมโปรจะขยายไลน์สินค้าใหม่กว่า 10,000 รายการบนแพลตฟอร์ม Market Place ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท พร้อมพัฒนา Omni-Channel ให้สามารถเชื่อมโยงกับหน้าร้านได้อย่างไร้รอยต่อ รวมถึงขยายช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ผ่าน Live Streaming และการช้อปปิ้งแบบเรียลไทม์
3. การตลาดแบบ Personalized Marketing & พัฒนาและขยายการให้บริการ บริษัทนำ Big Data มาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อพัฒนาโปรโมชั่นและแคมเปญที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นการเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ผ่านบริการในรูปแบบต่างๆ เช่น บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้านแบบครบวงจร ด้วยทีมช่างโฮมโปร มือโปรประจำบ้านคุณ มากกว่า 2,600 ทีมทั่วประเทศ
4. บริหารความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกโฮมโปรให้ความสำคัญกับการกระจายแหล่งวัตถุดิบ บริหารต้นทุนสินค้า และปรับกลยุทธ์ด้านราคาให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และนโยบายเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ
5. ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (ESG) บริษัทให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด โดยมีโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าร์เซลล์) ในสาขาต่างๆ พร้อมลดคาร์บอนฟุตพรินต์และขยะพลาสติก นอกจากนี้ ยังขับเคลื่อนโมเดล "แลกเก่าเพื่อโลกใหม่" เพื่อพัฒนาเป็นสินค้ารักษ์โลก ลดของเสีย และใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด