
นางสมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อมตะ วีเอ็น [AMATAV] เปิดเผยว่า ในปี 68 ถือเป็นปีครบรอบ 30 ปีของบริษัท โดยบริษัทตั้งเป้าการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเวียดนามไว้ที่ 100-110 เฮกเตอร์ เพิ่มขึ้นจากปี 67 ที่สามารถขายที่ดินได้ 75 เฮกเตอร์ หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 30-40% โดยสัดส่วนหลักของการขายที่ดินจะมาจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง (ภาคเหนือของเวียดนาม) ซึ่งมีลูกค้าจำนวนมากที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ คิดเป็น 60-70% ของยอดขายทั้งหมด
ปัจจุบัน AMATAV มีที่ดินรองรับการขายใน 2 นิคมหลัก ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง มีที่ดินรวม 714 เฮกเตอร์ และได้ขายไปแล้วประมาณ 50% โดยเริ่มพัฒนาที่ดินเฟส 3 เพื่อรองรับการขายอย่างต่อเนื่อง นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองถั่น ที่มีที่ดินรวม 410 เฮกเตอร์ ซึ่งยังเหลือที่ดินขายอีกประมาณ 70-80% นางสมหะทัย กล่าวว่า ปัจจัยบวกในการลงทุนในเวียดนาม เกิดจากการปรับตัวภายในประเทศที่ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการขออนุญาตต่างๆ รวมถึงสิทธิทางภาษีที่เอื้อต่อการผลิตเพื่อการส่งออก ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และการเป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาคทำให้เวียดนามยังคงเป็นหมุดหมายปลายทางหลักของนักลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อขยายการลงทุนใหม่
โดย AMATAV ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ ขณะนี้ได้มีการศึกษาโครงการนิคมใหม่ที่คาดว่าจะไม่ได้ใบอนุญาตภายในปี 68 ซึ่งหากได้รับใบอนุญาตในปีนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 15-20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ในปี 69 บริษัทจะลงทุนทั้งในเรื่องที่ดินและค่าก่อสร้าง โดยมีแผนจะพัฒนานิคมใหม่ขนาดประมาณ 500 เฮกเตอร์ หรือประมาณ 3,000 ไร่ การย้ายฐานการผลิตและผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก
"แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ แต่เวียดนามยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีการใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น และต้องการพื้นที่ที่มีความสะดวกในการขนส่ง" นางสมหะทัย กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับผลประกอบการปี 67 บริษัทมีรายได้รวม 5,379.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 100.06 ล้านบาท แหล่งรายได้มาจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง ซึ่งเป็นทำเลที่ลูกค้ามีความต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันคาดว่าการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองถั่น (ภาคใต้ของเวียดนาม) มีมูลค่าใกล้เคียงกับอมตะซิตี้ ฮาลอง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีค่าแรงสูงและมีราคาขายที่ดินสูง 1 เท่า
ณ สิ้นปี 67 มียอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) ที่ 22 เฮกเตอร์ หรือประมาณ 130 ไร่ คาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 68 และส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง