XO รุกหนักเจาะยุโรปโฟกัสตลาดมาร์จิ้นสูงจ่อเดินเครื่องไลน์ผลิตใหม่ แจงขายหุ้นไปซื้อที่ดิน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 11, 2025 12:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็กโซติก ฟู้ด [XO] เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 68 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปี 67 ที่ผ่านมา ส่วนตัวเลขการเติบโตที่ชัดเจน บริษัทรอพิจารณาหลังงบไตรมาส 2/68 ออกมาก่อน เพื่อจะได้ทราบทิศทางหรือเทรนด์ในช่วงครึ่งปีหลัง และตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 45% วางกลยุทธ์ขยายตลาดในประเทศที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง รวมทั้ง การฟื้นตัวของยอดขายในตลาดสหรัฐ คาดจะปรับตัวดีขึ้น จากปีที่ผ่านมายอดขายในตลาดสหรัฐปรับตัวลดลง เนื่องจากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้นและภาวะสินค้าล้นสต๊อก (Over Stock)

ในด้านกลยุทธ์การเติบโตปี 68 บริษัทมีการส่งออกสินค้าไปกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และยังคงขยายตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ผ่านการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติมากกว่า 24 งานต่อปี โดยยังคงเน้นตลาดหลักในทวีปยุโรปและทวีปอื่นๆ ต่อเนื่อง โฟกัสกลุ่มทวีปที่สามารถทำอัตรากำไรได้ในระดับสูง ขณะที่ตลาดแคนาดาเริ่มมีออเดอร์เข้ามา อย่างไรก็ดี บริษัทได้รับอานิสงส์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง โดยเซ็นสัญญาซื้อพริกและน้ำตาลล่วงหน้าในราคาที่เอื้อต่อการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านความคืบหน้าไลน์การผลิตใหม่ 1 ไลน์ ที่โรงงานเดิมที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ งบลงทุน 200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทดสอบระบบ (Test run) และคาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าส่งออกได้ในเดือนเม.ย. ปี 68 นี้ โดยไลน์การผลิตใหม่จะสามารถสร้างยอดขายได้ราว 1,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่แผนการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เลื่อนออกไปคาดจะเริ่มก่อสร้างปลายปี 68 นี้ โดยจะใช้เวลาก่อสร้างไม่เกิน 18 เดือน เพื่อขยายตลาดซอสส่งออกไปยังตลาดที่เป็นโอกาสต่อเนื่อง รับทิศทางอาหารไทย Kitchen of the world

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2567 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของ XO ยังคงเป็นกลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้ม คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 89.9% ของยอดขายบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูงที่สุด ในด้านการใช้อัตรากำลังการผลิต (Utilization Rate) ทำได้แตะระดับ 87.8% มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มหลักอยู่ในทวีปยุโรป 78.8% เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา รวมทั้ง ทวีปเอเชีย 7.2% และทวีปอเมริกาสัดส่วนลดลงอยู่ที่ 4.7% ของยอดขาย ซึ่งเป็นการปรับลดลงตามกลยุทธ์ที่วางไว้

รายได้จากการขายสินค้า จำนวน 2,478.91 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 42.18 ล้านบาท คิดเป็น 1.67% โดยรายได้ปรับลดลงเล็กน้อย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าในปี 67 ทำได้ 47.85% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าเท่ากับ 46.76% โดยสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของตลาดหลักในทวีปยุโรปและทวีปอื่นๆ ต่อเนื่อง ขณะที่ สัดส่วนการขายสินค้าไปยังทวีปอเมริกาซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าการขายไปยังทวีปยุโรปลดลง และการอ่อนค่าของสกุลเงินบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 67 เท่ากับ 790.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.73 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักเนื่องจากการลดลงของผลขาดทุนอื่น และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น

"แม้ว่ารายได้รวมและปริมาณการขายจะลดลงจาก 28,301 ตัน ในปี 66 เหลือ 25,511 ตัน ในปี 67 หรือลดลง 9.86% มาจากสัดส่วนการขายสินค้าไปยังทวีปอเมริกา แต่บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้กำไรขั้นต้นยังคงเติบโตอยู่ที่ 47.85% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 45% ในด้านอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ 37.75 บาท/USD เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอยู่ที่ 37.20 บาท/USD" นายจิตติพร กล่าว

นายจิตติพร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ประเด็นการขายหุ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 68 ที่ผ่านมา คิดเป็น 1.2066% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ โดยจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 8.8263% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ถูกบังคับขาย แต่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เนื่องจากมีความสนใจอยากซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง และไม่กระทบต่อการบริหารงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ