
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ราช กรุ๊ป [RATCH] เปิดเผยว่าในปี 68 บริษัทยังตั้งเป้าการเติบโตของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ 5-10% โดยจะรับรู้รายได้จากการขายไฟในโรงไฟฟ้าที่จะ COD ในปีนี้ การเพิ่มกำลังการผลิตด้านพลังงานทดแทนในโรงไฟฟ้าเดิม รวมทั้งการลงทุนโครงการใหม่ในรูปแบบ M&A
โดยในปีนี้มีจำนวน 4 โครงการที่กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 2 รับรู้กำลังการผลิต 392.70 เมกะวัตต์ เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วในเดือนม.ค. คาดการณ์กำไรราว 1,000 ล้านบาท โรงไฟฟ้านวนครส่วนขยาย บริษัทรับรู้กำลังการผลิต 12 เมกะวัตต์ กำหนด COD ไตรมาส 2/68 โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง 1 รับรู้กำลังการผลิต 5.55 เมกะวัตต์ กำหนด COD ไตรมาส 3/68 ในเวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ NPSI ในฟิลิปปินส์ บริษัทรับรู้กำลังการผลิต 71.05 เมกะวัตต์ กำหนด COD ไตรมาส 4/68
ทั้งนี้ บริษัทได้จัดเตรียมงบประมาณลงทุนในปี 68 ไว้ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 5,000 ล้านบาท ลงทุนโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา ส่วนอีก 10,000 ล้านบาท โครงการลงทุนใหม่ ในรูปแบบ M&A โครงการ Green Field และ Brown Field
ในปีนี้ บริษัทฯได้ดำเนินการทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อปรับทิศทางการดำเนินงานให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต จึงมุ่งเป้าที่การปรับพอร์ตสินทรัพย์ด้วยการจัดกลุ่มสินทรัพย์และกำหนดกลยุทธ์การบริหาร สินทรัพย์แต่ละกลุ่มให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยครอบคลุมตั้งแต่การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและลดการปลดปล่อย ก๊าซเรือนกระจก การนำโรงไฟฟ้าเดิมมาปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อาทิ โครงการ Synchronous Condenser ของโรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการนำโครงสร้างพื้นฐานของโรงไฟฟ้ามาใช้สนับสนุนเสถียรภาพระบบไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์ จะเริ่มดำเนินโครงการได้ประมาณก.ค. 68 การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางแล้วและสินทรัพย์ที่ดินเป็นธุรกิจใหม่หรือโครงการใหม่ การเข้าลงทุนซื้อหุ้นจากพันธมิตรเดิมในโครงการที่ยังมีมูลค่าทางธุรกิจ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพสินทรัพย์ให้สอดรับกับเป้าหมายธุรกิจของบริษัทฯ และลงทุนในธุรกิจพลังงานใหม่
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บริษัทฯ มุ่งกระจายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงพลังงานรูปแบบใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีโครงการในมือแล้ว 12 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 1,709.40 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย
- โครงการที่ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงานเบอรีล กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์ฟาร์มมารูลัน กำลังการผลิต 152 เมกะวัตต์ โครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์
- โครงการในประเทศฟิลิปปินส์ ได้แก่ โครงการพลังงานลมใกล้ชายฝั่งซานมิเกล กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 245 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 232.75 เมกะวัตต์
- โครงการพลังงานลมในเวียดนาม ได้แก่ โครงการเบ็นแจ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 39.20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมบนฝั่ง 2 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมประมาณ 140.45 เมกะวัตต์
และอยู่ระหว่างรอความชัดเจนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยอีก 153.97 เมกะวัตต์
"นอกจากการปรับพอร์ตสินทรัพย์แล้ว ในปีนี้บริษัทฯ ยังมุ่งขยายการลงทุนโดยให้ความสนใจในโครงการพลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2593 ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศเพื่อให้บริษัทฯ มีรายได้มั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาและพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ ได้แก่พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก รวมทั้งระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทย่อยในออสเตรเลียได้พัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ โดยได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Kemerton ในออสเตรเลีย และมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์เดิม และยังเป็นการก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว" นายนิทัศน์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุน รวม 10,815 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งสิ้น 7,843 เมกะวัตต์ (72.5%) และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,972 เมกะวัตต์ (27.5%) นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งหมายที่จะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 30% ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และ 40% ในปี 2578