
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ [SJWD] กล่าวว่า ปี 68 บริษัทมุ่งสร้างเติบโตผ่านการต่อยอดการ Synergy ของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ และพันธมิตรธุรกิจ โดยมุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพ ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น จะเปิดบริการเพิ่มอีก 4 แห่งในปีนี้ พื้นที่รวมกว่า 37,000 ตารางเมตร ได้แก่ เชียงใหม่ 2,700 ตารางเมตร, สระบุรี (เฟส 2) 3,400 ตารางเมตร, รังสิต 14,595 ตารางเมตร และห้องเย็น (เฟส 3) ของบริษัท เอสซีจี นิชิเร พื้นที่ 17,091 ตารางเมตร ที่จังหวัดปทุมธานี รวมถึงจะขยายบริการคลังสินค้าห้องเย็นแก่กลุ่มอุตสาหกรรมยาและเฮลท์แคร์ วางแผนร่วมทุนกับลูกค้าสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ ศึกษาดีลกับพาร์ทเนอร์ ตลอดจนขยายเครือข่ายขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ
ด้านธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ บริษัทฯ ให้บริการแก่รถยนต์กว่า 5 แสนคันในปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศรวมกว่า 1.46 ล้านคัน แผนงานปีนี้จะขยายการให้บริการแก่รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และขยายบริการนำเข้าและส่งออกวัตถุดิบและชิ้นส่วนยานยนต์
ธุรกิจ Freight หรือตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จะเพิ่มรายได้เป็น 2,500 ล้านบาทภายในปี 72 จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,500 ล้านบาท ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี เฟรท จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพให้บริการ
รวมถึงจะรุกสร้าง New S-Curve จากการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติสก์ครบวงจรรายแรกที่มีบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ NSW Service Provider (NSP) ซึ่งเป็นระบบบริการจัดส่งข้อมูลที่เชื่อมต่อหน่วยงานภาครัฐ (กรมศุลกากร) และภาคธุรกิจ สำหรับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์และจะผสานความร่วมมือกับ ANI และ บมจ.ไซไน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SINO ในฐานะพาร์ทเนอร์ เชื่อมโครงข่ายบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
ส่วน ธุรกิจต่างประเทศ จะโฟกัสการขยายธุรกิจในจีน เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยในจีนจะร่วมมือกับ JUSDA ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน คลังสินค้า และนำเข้า-ส่งออก จากจีนมาไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอกนิกส์ และเครื่องจักร เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าระหว่างจีน เวียดนาม สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่าตลาดถึง 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา และร่วมกับ Ruiyun Logistics ศึกษาโอกาสทางธุรกิจบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิข้ามแดนระหว่างไทย เวียดนาม และจีน
ส่วนในเวียดนามจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีจากการถือหุ้น 100% ใน SCGJWD Logistics (Vietnam) Co., Ltd. (เดิมชื่อ SCG International Vietnam) หลังจากปีที่ผ่านมาได้รับงานจาก VIETNAM CONSTRUCTION MATERIALS JOINT STOCK COMPANY (VCM) ในเครือเอสซีจี เพื่อให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรแบบ End-to-End Supply Chain Solution
ขณะที่มาเลเซียได้ร่วมกับ SWIFT จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อรุกธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมาเลเซีย 3 แห่ง พื้นที่รวมกันกว่า 31,000 ตารางเมตร คาดว่าจะทยอยเปิดบริการไตรมาส 1/2569 รวมถึงจะใช้ความเชี่ยวชาญขยายธุรกิจในธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ในอินโดนีเซีย และรุกขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง
นอกจากนี้ ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปที่ดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัทแอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด มีแผนเสนอขายสินทรัพย์บางส่วน มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท แก่กองรีทที่เป็นพาร์ทเนอร์เพื่อนำมาขยายการลงทุนต่อเนื่อง และในเดือนกันยายนนี้คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการและรับบริหารคลังสินค้าแห่งใหม่ในย่านนิคมอุตสาหกรรมบางกระดีแก่บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงให้บริการด้านโลจิสติกส์และ Fulfillment ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตและตอกย้ำศักยภาพธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ
นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งสร้างการเติบโตอย่างเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายเพิ่มมาร์เก็ตแคปเป็น 1 แสนล้านบาท และเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ภายในปี 2573 รวมถึงมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ผ่านการให้บริการ Green Logistics และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนใน Scope 1 Scope 2 และ Scope 3
ปัจจุบัน บริษัทดำเนินธุรกิจในอาเซียน 9 ประเทศ และจีนตอนใต้ มีพื้นที่คลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าอันตราย ลานจอดยานยนต์ สินค้าควบคุมอุณหภูมิ รวมทั้งสิ้นกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร มีเครือข่ายรถขนส่งกว่า 14,000 คัน เครือข่ายเรือบรรทุกสินค้ากว่า 220 ลำ และฐานลูกค้ากว่า 2,400 ราย รวมถึงมีพาร์ทเนอร์ชั้นนำในธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
ขณะที่ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ณ สิ้นปี 67 อัตราหนี้สินต่อทุนที่มีภาระดอกเบี้ย 0.67 เท่า เงินสดคงเหลือ (Cashflow Surplus) กว่า 2,400 ล้านบาท และการเสนอขายหุ้นกู้เดือนกันยายนปีที่ผ่านมาวงเงินไม่เกิน 4,200 ล้านบาท มีนักลงทุนต้องการจองซื้อมากกว่ามูลค่าที่เสนอขาย นอกจากนี้ บริษัทฯ มีฐานลูกค้าในเครือ SCG ช่วยเพิ่มความมั่นคงแก่รายได้และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนประมาณ50% ของเครือ SCG เท่านั้น จึงมีโอกาสขยายฐานการให้บริการได้อีกในอนาคต ประกอบกับ SCG ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ตลอด จึงมั่นใจว่าปริมาณการขนส่งสินค้าแก่เครือ SCG จะไม่ลดลงในปีนี้