
บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) [FPT] ขอฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โฟกัสลยตลาดคอนโดฯ ทำเลกลางเมือง-แนวรถไฟฟ้าเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ขณะเดียวกันจะกระจายกำลังขึ้นโครงการแนวราบทั้ง กทม.และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกเข้าพัฒนาที่อยู่อาศัยควบคู่นิคมอุตสาหกรรม
นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย FPT กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการพัฒนาสินค้าในกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมรายได้ในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันจะมีความท้าทายจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อของคนในประเทศชะลอตัว ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่บริษัทยังเชื่อมั่นว่าภาพในระยะกลาง-ยาว เศรษฐกิจไทยจะเห็นการฟื้นตัวกลับมาค่อยๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบายของภาครัฐที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ การกระตุ้นการท่องเที่ยว การลงทุน และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
บริษัทมองว่าสินค้าที่อยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดมิเนียม จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจที่อยู่อาศัยของ FPT และเป็นกลุ่มสินค้าที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้ดี ซึ่งบริษัทจะเริ่มพัฒนาคอนโดมิเนียมมากขึ้นหลังจากที่ประสบควทมสำเร็จจากโครงการแรก คือ KLOS รัชดา ซึ่งได้รับการตอบรับกับลูกค้าเป็นอย่างดี โดยบริษัทมองเห็นโอกาสในการกระจายกลุ่มสินค้าให้หลากหลาย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการในการอยู่อาศัยแตกต่างกัน จากปัจจุบันที่เน้นไปที่การพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก
ในปี 68 บริษัทมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ คือ KLOS รามอินทรา-แฟชั่นฯ มูลค่า 450 ล้านบาท และต่อเนื่องในปี 69 คาดว่าจะมีโครงการใหม่อีก 2-3 โครงการ ซึ่งจะมีคอนโดมิเนียมหรูทำเลหลังสวน 1 โครงการ ปัจจุบันผ่านการพิจารณาด้านผลกระมบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว และเตรียมเริ่มก่อสร้าง มูลค่าโครงการเบื้องต้นราว 8 พันล้านบาท ราคาขายราว 400,000-500,000 บาท/ตรางเมตร นอกจากนั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติมในปีหน้า
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า การที่มีคอนโดมีเนียมเข้ามาเสริมไนพอร์ตธุรกิจที่อยู่อาศัยของบริษัทจะเป็นปัจจัยที่สามารถผลักดันให้รายได้ของกลุ่มฯ เพิ่มขึ้นไปที่ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาทได้ในอนาคต จากปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 1.12 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เป็นรายได้จากคอนโดมิเนียมจะเข้ามากว่า 2-3 พันล้านบาทในอนาคตช่วงที่เริ่มโอนโครงการมากขึ้น
ขณะที่ปี 68 บริษัทวางแผนเปิดตัวแนวราบ 5 โครงการใหม่ครอบคลุมทำเลศักยภาพในกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และขอนแก่น มูลค่ารวม 9.35 พันล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว และบ้านแฝดระดับลักซ์ชัวรี่ไปจนถึงระดับบนอย่าง The Grand, Grandio และไฮไลต์แบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวไปแล้วอย่าง Gramour ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้ากลุ่มกลาง-บน พร้อมนำเสนอทาวน์โฮมพรีเมียมแบรนด์ใหม่ Goldina ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนั้น กลุ่มฯ จะเข้าไปมีส่วนร่วมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของ FPT ในโครงการ ARAYA THE EASTERN GATEWAY ตามหลังการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเฟสแรกจะมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 2,000 ไร่ พัฒนาเป็นโรงงานและคลังสินค้า คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 3-5 ปี เมื่อมีแหล่งงานเกิดขึ้นแล้ว จึงจะเริ่มเข้าไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย แต่ในช่วงที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย บริษัทจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าและหอพักก่อนเพื่อรองรับผู้ที่เข้ามาทำงานในโครงการ ARAYA THE EASTERN GATEWAY ในช่วงเริ่มแรก