ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทรุดตัวลงเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเหนือระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล และจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประเมินว่าเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น)
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 227.49 จุด หรือ 1.77% แตะระดับ 12,601.19 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 22.66 จุด หรือ 1.60% แตะระดับ 1,390.74 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 43.99 จุด หรือ 1.77% แตะระดับ 2,448.27 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.36 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.16 พันล้านหุ้น
ควินซี ครอสบี นักวิเคราะห์จากบริษัทฮาร์ทฟอร์ดในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า "ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงและรวดเร็วทำให้เกิดความกังวลว่า ต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออัตราจ้างงานและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อมองจากสถานการณ์ในขณะนี้เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะ stagflation แล้ว"
ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้น 4.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 133.17 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงในไนจีเรีย และความต้องการพลังงานในจีนที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมซึ่งระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรงและคาดว่าอัตราว่างงานจะสูงขึ้นอีกในปีนี้ อีกทั้งคาดว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออาจทำให้เฟดยุติวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งติดต่อกันอาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น
ทิม อีแวน นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากซิตี้ ฟิวเจอร์ส เพอร์สเปคทีฟ ในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า "ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 17.08 ดอลลาร์ หรือ 14% นับตั้งแต่โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่สุดของโลก คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งแตะระดับ 150-200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันที่ไม่สามารถขยายตัวได้ทันกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ดิ่งลง 24% หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลังจากสายการบินประกาศลดเที่ยวบินภายในประเทศและวางแผนลดจำนวนพนักงาน
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงหลังจาก เมเรดิท วิทนีย์ นักวิเคราะห์ด้านการธนาคารจาก ออพเพนไฮเมอร์ แอนด์ โค ได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในสหรัฐ รวมทั้งบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส เพราะคาดว่าสถาบันการเงินเหล่านี้ยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์สินเชื่อ นอกจากนี้ วิทนีย์คาดว่า วิกฤตการณ์ดังกล่าวจะยังคงยืดเยื้อต่อไปจนถึงปี 2552
ทั้งนี้ หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 2.2% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 2.9% หุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลง 4.8% และหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ร่วงลง 3.9%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--