"วินเพอร์ฟอร์มานซ์" แต่งตัวเข้า mai ปลายปีนี้เสริมแกร่งธุรกิจติดตามทวงหนี้รับ NPL พุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 1, 2025 16:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพรเลิศ เบญจกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินเพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด [WIP] บริษัทผู้ให้บริการหลักติดตามทวงถามและจัดเก็บหนี้ในเครือ บมจ.บัตรกรุงไทย [KTC] เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพท์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดบริการ (Service) ช่วงปลายปีนี้ โดยเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายในเดือน มิ.ย.68

บริษัทยังคงมุ่งเน้นการเติบโตจากธุรกิจหลัก คือ การติดตามหนี้และเร่งรัดหนี้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

"การเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของ WIP ในการขยายบริการและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้และให้บริการลูกค้าได้อย่างมีมาตรฐานสูงสุด" นายพรเลิศ กล่าว

บริษัทมีรายได้ส่วนงานธุรกิจ 3 ประเภท ได้แก่

1. รายได้จากธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามหนี้ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 75% โดยคิดค่าบริการติดตามทวงถามหนี้สำหรับบัญชีลูกหนี้ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน อัตราค่าบริการคงที่ต่อรายบัญชีต่อรอบระยะเวลาการทวงหนี้ และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการลงพื้นที่ติดตามทวงถามหนี้ที่เกิดขึ้นจริงสำหรับสินเชื่อประเภทเช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง โดยที่ลูกหนี้ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ และชำระให้แก่ธนาคาร หรือผู้ให้บริการทางการเงินในอัตราที่ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น

2. รายได้จากธุรกิจให้บริการเร่งรัดหนี้สิน สัดส่วนรายได้ 20% รายได้มาในรูปแบบค่าคอมมิชชั่นจากผู้รับบริการจากการเรียกเก็บ คืนหนี้แทนผู้รับบริการ คิดค่าบริการเรียกเก็บคืนหนี้สำหรับบัญชีสินเชื่อที่มีสถานะยกเลิกสัญญาเป็นอัตราค่าคอมฯ อัตราร้อยละของจำนวนเงินที่เรียกเก็บได้ตามที่ตกลงกับผู้รับบริการ ขึ้นอยู่กับความยากในการเรียกเก็บคืนหนี้

3. รายได้จากธุรกิจบริการอื่น ๆ สัดส่วน 5% มาจากรายได้จากการดำเนินคดีและบังคับคดีตามกฎหมาย รายได้จากค่าบริการโทรศัพท์ รายได้จากการบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคล รายได้จากค่าบริการตรวจสอบสถานที่

บริษัทมีบัญชีลูกหนี้ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน หรือหนี้ส่วนหน้า ในปี 65 จำนวน 4.5 ล้านบัญชี ปี 66 จำนวน 4.7 ล้านบัญชี และปี 67 จำนวน 5.2 ล้านบัญชี โดยมีผู้รับบริการหลัก ได้แก่ KTC ซึ่งมีสัดส่วน 90% ของพอร์ตทั้งหมด ขณะที่พอร์ตหนี้ส่วนหลังหรือหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน ปี 65 มีจำนวน 4.5 พันล้านบาท ปี 66 จำนวน 7.7 พันล้านบาท ปี 67 จำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท อัตราการจัดเก็บหนี้ส่วนหลังสำเร็จในปี 65 9% ปี 66 11.7% และ ปี 67 5.2%

สำหรับแผนงานปี 68 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10% โดยยังคงมุ่งเน้นธุรกิจหลัก คือ การติดตามหนี้และเร่งรัดหนี้ โดยจะนำเงินลงทุนไปขยายผู้รับบริการรายใหม่ ทั้งสถาบันการเงิน และบริษัทสินเชื่อ (Non-Bank) ในพอร์ตลูกหนี้ก่อนจะเป็น NPLs ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารจัดการ

และบริษัทมีการขยายการให้บริการปิดเล่ม/ ปิดบัญชี หรือการรีไฟแนนซ์สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ รวมถึง การเข้าร่วมทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ (NPLs) กับ AMC ที่เป็นพันธมิตร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง พร้อมกับยกระดับความพึงพอใจและการให้บริการอย่างมีคุณภาพ ตามมาตรฐานระดับสากลอย่างต่อเนื่อง

บริษัทจะเป็นผู้นำตลาดในการให้บริการติดตามหนี้และเร่งรัดหนี้ที่มีส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่า 5-10% หลังเข้าจดทะเบียนในตลาด mai และในระยะยาว 3-5 ปีจะมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 20% อีกทั้ง การขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากธุรกิจเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ภายใต้ความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

นายพรเลิศ กล่าวว่า บริษัทยังมุ่งเน้นบริการหนี้ส่วนหน้า เนื่องจากเรียกเก็บได้ง่ายกว่า และวอลุ่มในตลาดยังมีอยู่ รวมทั้งคู่แข่งน้อยราย เนื่องจากต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการจัดเก็บหนี้ โดยบริษัทมีอิสระในการเลือกซื้อหนี้ และสามารถร่วมลงทุนกับพันธมิตรเพื่อซื้อหนี้ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เน้นลงทุนหนี้ส่วนหน้าเพื่อให้ไม่กลายเป็นหนี้เสียในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอุตสาหกรรมติดตามหนี้ปัจจุบันยังไม่ค่อยดี แต่ละสถาบันการเงินมีสภาวะของหนี้เสีย (NPL) อยู่ และเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อรักษาระดับ NPL โดยลูกหนี้ NPL ปัจจุบันมองว่าไม่มีกำลังในการชำระหนี้ได้ ส่งผลให้ NPL เพิ่มขึ้นมาก บริษัทมองว่าในอนาคตการเติบโตของรายได้จากส่วนงานธุรกิจเร่งรัดหนี้สินจะเติบโตสูงมากขึ้น จากปริมาณ NPL ในตลาดที่สูงขึ้น โดยในปี 67 ธุรกิจดังกล่าวโต 10% และคาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นเป็น 30%

สำหรับผลการดำเนินงานปี 65-67 บริษัทมีรายได้รวม 300 ล้านบาท 335 ล้านบาท และ 352 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิเท่ากับ 79 ล้านบาท 95 ล้านบาท และ 95.5 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 48% 51% และ 51% ตามลำดับ ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ 270 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ