
บมจ.ออโรร่า ดีไซน์ [AURA] แถลงแผนธุรกิจ 3 ปี ภายใต้แนวคิด "Exponential Expansion" มุ่งสู่กลยุทธ์ครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ AURA นับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ พร้อมระเบิดพลังการเติบโตทุกมิติ ทั้งโอกาสจากการขยายผลิตภัณฑ์จับกลุ่มลูกค้าใหม่ ได้แก่ ทอง 18K ไข่มุก และกลุ่มจิวเวลรี่ ทั้งนี้ยังมีกลยุทธ์กับคู่ค้าเพื่อเพิ่มอัตรากำไร และขยายพอร์ตสินเชื่อทองมาเงินไป เติบโตก้าวกระโดดด้วยบัญชีลูกค้า (AR) แตะ 20,000 ล้านบาท ในปี 70
นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด AURA เปิดวิสัยทัศน์ใหญ่ภายในงานแถลงแผนธุรกิจ 3 ปี (68-70) ภายใต้แนวคิด "Exponential Expansion" ชูยุทธศาสตร์การเติบโตแบบก้าวกระโดดทุกมิติ โฟกัส 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ Gold Jewelry Business และ Gold Financing Business เดินหน้าสู่การเป็น "ผู้นำธุรกิจร้านทองของประเทศไทย" อย่างเต็มรูปแบบ

- Gold Jewelry Business พร้อมขยายไปยังโอกาสใหม่ ๆ วางแผนขยายเครือข่ายสาขา ภายใต้แบรนด์ AURORA, เซ่งเฮง, ทองมาเงินไป, AURORA Diamond และของขวัญ by AURORA ครอบคลุมฐานลูกค้าทุกเพศทุกวัยทั่วประเทศ จาก 488 แห่ง ในปี 67 ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสาขาแตะ 644 สาขาในปี 68 และมุ่งสู่ 1,070 สาขา ภายในปี 70 โดยสัดส่วนการเพิ่มสาขาใหม่ของแต่ละแบรนด์ คือทองมาเงินไป 64%, เซ่งเฮง และ AURORA 29% และ AURORA Diamond และของขวัญ อีก 7% โดยใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 200-250 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายธุรกิจสู่แบรนด์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเตรียมขยายไปยังกลุ่มทอง 18K ไข่มุก และจิวเวลรี่อื่น ๆ รุกสินค้ากลุ่มไฮมาร์จิ้น เนื่องจากสินค้าในกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง พร้อมมองหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่ง ด้วยเป้าหมาย "ส่งมอบของขวัญแห่งความสุขที่มีคุณค่า" รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างต้นทุน ด้วยกลยุทธ์กับคู่ค้าเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน และเพิ่มอัตรากำไร

"เราเก่งเรื่องการขยายสาขา จึงมองหาพันธมิตรที่มีจิวเวลรี่แบรนด์ไทยที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และต้องการขยายสาขามาร่วมงานกัน ถือหุ้นร่วมกัน ซึ่งในปีนี้อยู่ระหว่างคุยกับพาร์ตเนอร์ประมาณ 4-5 เจ้า" นายอนิพัทย์ กล่าว
นอกจากนี้ AURA ยังมีแผนสร้างโรงหลอมทองขึ้นมาเอง เนื่องจากมองว่ามีความคุ้มค่ามากกว่า โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30-40 ล้านบาท สร้างโรงหลอมขนาดประมาณ 100 ตารางเมตร และซื้อเครื่องประมาณ 5 เครื่อง โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มมาร์จินได้ 1% ทั้งนี้ คาดว่าจะได้เห็นภาพภายในปี 69 แน่นอน และน่าจะคุ้มทุน (Break Even) ภายใน 1 ปี
- ธุรกิจ Gold Financing Business เดินหน้าขยายพอร์ตธุรกิจขายฝากทอง ภายใต้แบรนด์ทองมาเงินไป ให้เติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง ในปี 67 มีบัญชีลูกหนี้ขายฝาก (AR balance) ณ สิ้นงวด ปี 67 อยู่ที่ 4,881 ล้านบาท วางเป้าในปี 68 อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท ปี 69 อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท และไปสู่การเติบโต 20,000 ล้านบาท
"เป้าปี 70 ที่วางไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับตลาดทั้งหมดที่ 200,000 ล้านบาท ก็มองว่ายังไม่สูง เพราะ AURA อยากได้ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 10%" นายอนิพัทย์ กล่าว
ขณะเดียวกัน พร้อมยกระดับประสบการณ์ผ่านระบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน และเพิ่มบริการถึงหน้าบ้าน (Delivery) ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบริการ Delivery ได้ช่วงไตรมาส 2/68 ซึ่งเป็นการตอกย้ำการเป็นมากกว่าร้านทอง แต่เป็นแบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภค สร้างประสบการณ์ใหม่ และเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
"AURA มั่นใจว่าแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีนี้ จะเป็นจังหวะทองของการเร่งเครื่องธุรกิจ โดยบริษัทมีการวางแผนด้านเงินทุน เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท พร้อมทั้งออกหุ้นกู้วงเงิน 2,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3/68 เสนอขายแบบ PO นักลงทุนทุกกลุ่มสามารถซื้อขายได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการขยายทั้งในธุรกิจสินเชื่อ ต่อยอดความสำเร็จจากปีก่อน AURA ได้ออกหุ้นกู้ระยะสั้นเป็นครั้งแรก และประสบความสำเร็จในการขยายพอร์ตสินเชื่อทองมาเงินไปเติบโตราวเท่าตัว หนุนผลงาน All Time High ในปี 67 รายได้รวมอยู่ที่ 33,153.9 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 1,134.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.5% จากปีก่อน พร้อมตั้งเป้าปี 68 ภาพรวมรายได้จะเติบโตต่อเนื่อง และรักษาอัตรากำไรให้เติบโตไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา" นายอนิพัทย์ กล่าว
นายอนิพัทย์ กล่าวถึงทิศทางราคาทองว่า ในระยะยาว 2-3 ปี แนวโน้มราคาจะขึ้นต่อไปแน่นอน เป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ที่หากไม่มั่นใจเรื่องเศรษฐกิจหรือสงครามก็จะหันมาถือทองมากขึ้น ในส่วนของระยะกลาง เชื่อว่าราคาทองจะสวิงขึ้นลง ปรับตัวลงเล็กน้อย แต่คงไม่ได้ลงมากจนไปแตะถึง 40,000 บาท อย่างไรก็ดี ก็มองอีกมุมว่า ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้น ส่วนจะมีโอกาสไปถึง 60,000 บาทหรือไม่ก็มองว่าเป็นไปได้ เพราะทุกปีราคาทองปรับตัวสวิงขึ้นลงประมาณ 10%
"ราคาทองมีความผันผวนสูง อย่างตอนที่ราคาพุ่งขึ้นไปสูง ก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีลูกค้ามาขายทองมากขึ้น ในส่วนนี้ AURA เองก็ได้กู้เงินธนาคารเพิ่ม เพื่อนำมาจ่ายให้ลูกค้าแบบไม่ติดขัด ที่ทำแบบนี้เพราะมองว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่า จะได้เงินเลย ไม่ต้องรอ" นายอนิพัทย์ กล่าว
บริษัทฯ ไม่กังวลกับปัจจัยราคาทองที่มีการปรับเพิ่มขึ้น หรือลดลง ขณะเดียวกัน ก็มีกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ทั้งจากขาขายออก และรับซื้อเข้าจากลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และรูปแบบให้เหมาะสมกับช่วงทิศทางราคาทองขณะนั้น
อย่างไรก็ดี แม้ราคาทองที่ขึ้นลงจะไม่ได้ส่งผลต่อ AURA มากนัก มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 10-20% ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดของธุรกิจ แต่ในอนาคตก็มีแผนจะปรับสัดส่วนกำไรที่ได้มาจาก 3 ธุรกิจหลัก จากปัจจุบันที่มีกำไรจากธุรกิจ Modern Gold 60% High Margin Products 20% และ Gold Financing 20% จะเปลี่ยนเป็นธุรกิจ Modern Gold 44% High Margin Products 16% และ Gold Financing 40% ภายในปี 70