ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 24.43 จุดหลังราคาน้ำมันร่วงกว่า $2

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 23, 2008 06:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (22 พ.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 2 ดอลลาร์ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังขานรับตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานที่ปรับตัวลดลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 24.43 จุด หรือ 0.19% แตะระดับ 12,625.62 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 3.64 จุด หรือ 0.26% แตะระดับ 1,394.35 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดดีดขึ้น 16.31 จุด หรือ 0.67% แตะระดับ 2,464.58 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.2 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 17 ต่อ 14 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 1.9 พันล้านหุ้น
สก็อต ฟูลแมน นักวิเคราะห์จากบริษัทดับเบิ้ลยูเจบี แคปิตอล ในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นนิวยอร์กตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกเมื่อราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 135 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าข้อมูลบ่งชี้เศรษฐกิจที่อ่อนแอและราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะ stagflation"
"แต่เมื่อราคาน้ำมันถอยลงมาอยู่ที่ระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนก็เริ่มส่งคำสั่งซื้อเข้าตลาด นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็เริ่มผ่อนคลายลง เมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานที่ปรับตัวลดลงในรอบสัปดาห์ที่แล้ว" ฟูลแมนกล่าว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 17 พ.ค.ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนที่ 365,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคระห์คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 375,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ฟูลแมนกล่าวว่า นักลงทุนบางกลุ่มยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางของราคาน้ำมัน โดยเขาคาดว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กจะยังถูกกดดันจากราคาน้ำมัน และวอลุ่มการซื้อขายที่บางเบาเมื่อคืนนนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดยังเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง
ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กร่วงลง 2.36 ดอลลาร์ แตะระดับ 130.81 ดอลลาร์/เมื่อคืนนี้ หลังจากทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 135 ดอลลาร์เมื่อวันก่อน
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 1.5% และหุ้นซิตี้แบงก์ พุ่งขึ้น 3.1%
หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ร่วงลง 8.2% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่าประสิทธิภาพในการทำกำไรอาจลดลงในปีหน้า และบริษัทยังวางแผนที่จะลดปริมาณการผลิตรถยนต์เอนกประสงค์ในอเมริกาเหนือในปีนี้เนื่องจากราคาพลังงานพุ่งขึ้นและเศรษฐกิจซบเซาลง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ