ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 พ.ค.) เนื่องจากมีความกังวลในตลาดหลังจากที่ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นอีกครั้งจนทำให้มีความกังวลว่า ผู้บริโภคที่ต้องประหยัดลดการใช้จ่ายลงและปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลง 145.99 จุด หรือ 1.16% แตะ 12,479.63 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 ร่วงลง 18.42 จุด หรือ 1.32% แตะ 1,375.93 จุด และดัชนี Nasdaq ตกลง 19.91 จุด หรือ 0.81% แตะ 2,444.67 จุด
นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับผู้บริโภค ซึ่งอยู่ในช่วงต้นของวันหยุดยาวในช่วงสุดสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งตรงกับวันเมมโมเรียลเดย์ เนื่องจากผู้บริโภคเหล่านี้ต้องจ่ายเงินค่าน้ำมันที่สูงขึ้นเกือบ 20% หรือ 65 เซนต์ต่อแกลลอนในปีที่แล้ว
ตลาดวิตกว่า กลุ่มผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่า 2 ใน 3 จะปรับงบประมาณในส่วนของเชื้อเพลิงลง หลังจากที่ราคาเชื้อเพลิงในบางพื้นที่พุ่งแตะระดับ 4 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในบางพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้ผู้บริโภคเหล่านี้ลดการใช้จ่ายลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ตลาดน้ำมัน NYMEX ดีดตัวขึ้น 1.38 ดอลลาร์ ปิดที่ 132.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับเป็นสถิติราคาที่ดีดตัวขึ้นติดต่อกัน 3 สัปดาห์แล้ว หลังจากที่ทะยานขึ้นสู่ระดับ 135.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นักลงทุนบางส่วนเข้าซื้อสัญญาด้วยความเชื่อที่ว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจากประเทศต่างๆ อาทิ จีนและอินเดียจะสูงกว่าอุปทาน โดยค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงก็ทำให้ราคาน้ำมันมีราคาแพงขึ้น
คริส ออร์นดอร์ฟ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์หลักทรัพย์ของเพย์เดน แอนด์ ไรเกล กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงมีน้ำหนักต่อตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐเข้าสู่ฤดูการขับขี่ยานยนต์ในช่วงวันหยุด
นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องผู้บริโภคแล้ว นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ อาทิ กลุ่มสายการบิน โดยตลอดสัปดาห์ หุ้นสายการบินคอนติเนนตัล แอร์ไลน์ส อิงค์ ร่วงลงเกือบ 27% ส่วนหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ตกลงเกือบ 46%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--