ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (28 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับยอดขายสินค้าคงทนของสหรัฐที่ดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มสหรัฐ และเป็นปัจจัยลบที่สกัดช่วงขาขึ้นของตลาด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 45.68 จุด หรือ 0.36% แตะระดับ 12,594.03 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 5.49 จุด หรือ 0.40% แตะระดับ 1,390.84 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 5.46 จุด หรือ 0.22% แตะระดับ 2,486.70 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.19 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 3 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 1.82 พันล้านหุ้น
นายริชาร์ด สปาร์คส์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเชฟเฟอร์ส อินเวสท์เมนท์ รีเสิร์ช กล่าวว่า "ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย.ลดลง 0.5% แต่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ไม่นับรวมสินค้าด้านอุปกรณ์การขนส่ง พุ่งขึ้น 2.5% ซึ่งพุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 9 เดือน"
"อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันดีดขึ้นมายืนเหนือระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจะบั่นทอนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ" นายสปาร์คสกล่าว
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลง 3.34 ดอลลาร์ แตะที่ระดับ 128.85 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพ.ค.ร่วงลงแตะระดับ 57.2 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 62.8 จุด และเป็นสถิติที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียล/ไอเอฟอาร์ มาร์เกตส์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 60.0 จุด
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงหนักสุดหลังจากนักวิเคราะห์ของซิตี้ อินเวสท์เมนท์ รีเสิร์ช กล่าวว่า การที่บริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชัแนล กรุ๊ป (AIG) ระดมทุนครั้งใหม่ มูลค่า 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากสถานะทางการเงินของ AIG เข้าขั้นวิกฤต ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวฉุดหุ้น AIG ดิ่งลง 4.7%
หุ้นไอบีเอ็มดีดขึ้น 1.7% หุ้นเอชพีปิดบวก 1.8% และหุ้นรีเสิร์ช อิน โมชั่น ทะยานขึ้น 2%
ส่วนหุ้นโคคา-โคลา อินเตอร์ไพร์ส ดิ่งลง 5.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า ยอดขายที่อ่อนแอในสหรัฐอาจส่งผลให้ตัวเลขกำไรไตรมาส 2 ลดน้อยลง และคาดว่ากำไรตลอดปีพ.ศ.2551 อาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น
หุ้นโปโล ราล์ฟ ลอเรน พุ่งขึ้น 11.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสพุ่งขึ้น 14% เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้น
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--