บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์(KCE)เตรียมใช้เงินลงทุน 720 ล้านบาทในปีนี้ขยายการผลิตสินค้าระดับไฮเอนด์ หรือ แบบ Multi layer หวังสร้างมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นหนีต้นทุนที่พุ่งสูง โดยเฉพาะในช่วงเงินบาทแข็งค่า พร้อมเตรียมเจรจาลูกค้าขอปรับขึ้นราคาในเดือนมิ.ย.นี้ มั่นใจปีนี้มีกำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อนที่มี 257.43 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเติบโต 20% เป็น 290 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 242 ล้านเหรียญสหรัฐในปีก่อน
"เราจะไม่ทำของ low margin เราจะทำพวกไฮเอนด์ เราทำของแพง เราต้องทำของที่มีมาร์จิ้นสูง เพราะ cost ของเราสูง ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทำให้ cost สูงขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราต้องปรับตัว"นายบัญชา องค์โฆษิต กรรมการผู้จัดการ KCE กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายบัญชา กล่าวว่า รายได้ปีนี้คาดว่าโตขึ้น 20% มาเป็น 290 ล้านเหรียญสหรัฐถือว่าสูงมาก โดยในปีนี้สัดส่วนสินค้าPCB แบบ Multi layer จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 80% จาก 60% ในปีก่อน ส่วน PCB แบบธรรมดา ซึ่งเป็นสินค้า low technology จะปรับลดสัดส่วนเหลือ 20% จากปีก่อนมี 40% เนื่องจากความต้องการสินค้าไฮเอนด์ของลูกค้าส่วนใหญ่ในกลุ่มรถยนต์ยังมีสูงอยู่
ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนขยายการผลิตสินค้าไฮเอนด์โดยใช้เงินลงทุน 720 ล้านบาท จากเงินลงทุนทั้งหมดที่เตรียมไว้ 905 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนที่ใช้เงินลงทุน 665 ล้านบาท โดยโรงงานที่อยุธยา เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1.05 ล้านตร.ฟุต/เดือน จาก 9 แสนตร.ฟุต/เดือน และ โรงงานที่ลาดกระบังเพิ่มเป็น 5.5 แสนตร.ฟุต/เดือน จาก 4.5 แสนตร.ฟุต/เดือน ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ในเดือนก.ย.และ ต.ค.นี้
ส่วนโรงงานที่บางปู คงกำลังการผลิต 4.5 แสนตร.ฟุต/เดือน
นายบัญชา กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ป้อน PCB ให้กับค่ายรถยุโรปทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Benz , Volvo, BMW หรือมีส่วนแบ่ง 16% ของ Auto PCB ในยุโรป รองจาก RUWEL ที่มีส่วนแบ่ง 20% ซึ่งน้อยรายที่จะผลิต PCB เข้าตลาดรถยนต์ได้
"ตอนนี้เราต้องการป้อนให้กับ Toyota โดยตรง เราก็พอแล้ว โดยจะขายตรงให้กับบริษัท เดนโซ่ ซึ่งที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอกนิกส์ให้กับกลุ่มโตโยต้า"นายบัญชา กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมี 3 โรงงานที่อยุธยา, บางปู และ ลาดกระบัง โดยมีลูกค้าหลักคือกลุ่มรถยนต์ 67% ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ในยุโรป
นายบัญชา เปิดเผยอีกว่า บริษัทเตรียมจะเจรจาขอปรับขึ้นราคากับลูกค้ากลุ่มรถยนต์ในเดือนมิ.ย.นี้ เนื่องจากต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยคาดว่าจะขอปรับราคาขึ้นประมาณ 5-10% ในช่วงปลายปี จากปีที่แล้วบริษัทได้ปรับราคาขึ้นมา 2.7% อย่างไรก็ตาม บริษัทจะได้ปรับขึ้นเท่าไรและเมื่อไรต้องรอผลสรุปการเจรจา ซึ่งยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะจบเมื่อไร
ทั้งนี้ วัตถุดิบสำคัญ ได้แก่ ลามิเนต คิดเป็น 18% ของต้นทุนและ ทองแดง คิดเป็น 2% โดยต้นทุนวัตถุดิบเหล่านี้ปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นราว 5% ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ นายบัญชา กล่าวว่า แต่บริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงไว้ในช่วงไตรมาสแรกแล้ว แต่ในไตรมาส 2/51 บริษัทยังไม่ได้ทำประกันความเสี่ยงเพราะเห็นแนวโน้มค่าเงินอ่อนตัวกว่าไตรมาสแรกมาอยู่ที่ประมาณ 32.25 บาท/ดอลลาร์ จากสิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ 31.29 บาท/ดอลลาร์ และคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2 คงจะไม่โตเท่ากับไตรมาสแรกที่เติบโตมาก
"กำไรปีนี้ยังไงก็โตกว่าปีที่แล้ว แต่จะโตเท่าไรไม่รู้ ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทเป็นตัวแปรสำคัญ เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เรารู้ว่าเราทำอะไร ขายเท่าไร" นายบัญชา กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--