ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (30 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการใช้จ่ายของประชาชนภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงในเดือนพ.ค.
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 7.90 หรือ 0.06% แตะที่ 12,638.32 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 2.12 จุด หรือ 0.15% แตะที่ 1,400.38 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 14.34 จุด หรือ 0.57% แตะที่ 2,522.66 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 3.72 พันล้านหุ้น ลดลงเมื่อเทียบกับวันพฤหัสบดีที่ 3.81 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 8 ต่อ 7
นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังและเทขายหุ้นบางส่วน หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายส่วนบุคคลของชาวสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนเม.ย.และรายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายส่วนบุคคลซึ่งไม่นับรวมยอดซื้อสินค้าในหมวดอาหารและพลังงาน ขยับขึ้นเพียง 0.1%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่พุ่งขึ้น และข้อมูลจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ระบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนพ.ค.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี เนื่องจากชาวอเมริกันมีความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐมากขึ้น
ปีเตอร์ คาร์ดิลโล นักวิเคราะห์จากอโวแลน พาร์ทเนอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า "ปัจจัยที่ให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวสหรัฐลดน้อยลงมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมัน สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้"
"นักลงทุนส่วนใหญ่วิตกกังวลว่าราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอาจทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมกลับย่ำแย่ลง ซึ่งภาวะเช่นนี้อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐต้องเผชิญภาวะ stagflation ยิ่งน้ำมันราคาแพงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐจะยิ่งทรุดตัวลง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ" คาร์ดิลโลกล่าว
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 73 เซนต์ แตะระดับ 127.35 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันถอยร่นลงจากระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีข่าวว่า คณะกรรมการกำกับดูแลการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดล่วงหน้าของสหรัฐ (CFTC) ได้เข้าตรวจสอบการซื้อขายในตลาดน้ำมันของสหรัฐ โดยมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมการปั่นราคาที่คณะกรรมการฯเชื่อว่ามีอยู่จริงในตลาด
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกขยายตัวในอัตรา 0.9% สูงกว่าที่กระทรวงคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 0.6% และสูงกว่าไตรมาส 4 ปี 2550 ที่ขยายตัวเพียง 0.6% เนื่องจากความต้องการสินค้าและบริการจากต่างประเทศลดลง และอัตราการลงทุนนอกภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ออกแถลงการณ์ว่า "ตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกที่แข็งแกร่งเกินคาดสะท้อนให้เห็นว่า การนำเข้าสินค้าและการบริการลดน้อยลง แต่การส่งออกสินค้าและการบริการปรับตัวสูงขึ้น โดยยอดส่งออกสินค้าและการบริการเพิ่มขึ้น 2.8% ขณะที่ยอดนำเข้าสินค้าและการบริการลดลง 2.6%"
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐ โดยในวันพุธหน้า สำนักงานจัดการด้านอุปทานของสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีด้านการก่อสร้างและภาคบริการ จากนั้นในวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนพ.ค.
หุ้นเดลล์พุ่งขึ้น 5.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดเนื่องจากยอดขายคอมพิวเตอร์พีซีและโน๊ตบุ๊คในเอเชียพุ่งสูงขึ้น ส่วนหุ้นมาเวลล์ เทคโนโลยีดีดขึน 23.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--