นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนรวมกรุงไทยโกลบอล เทรเชอรี่ ฟันด์1 (KTGT1) ในวันที่ 3 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป หลังจากที่เปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนครั้งแรก(IPO) เมื่อวันที่ 7 - 20 พฤษภาคม 2551 มูลค่าขั้นต่ำในการลงทุน 10,000 บาท ขึ้นไป โดยกองทุนสามารถระดมเงินลงทุนได้ประมาณ 51 ล้านบาท
กองทุนนี้ มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Dollar Fund หรือ Sterling Fund หรือ Euro Fund ประเภทกองทุน รวมตลาดเงิน ภายใต้ Global Treasury Funds ที่บริหารกองทุนโดย RBS Asset management (Dublin) Limited โดยกองทุนจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในเบื้องต้นจะเน้นลงทุนใน Sterling Fund ซึ่งหลังจากได้ปิดจำหน่าย IPO และนำเงินไปลงทุนในกองทุนGlobal Treasury Fundsในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลตอบแทนโดยประมาณอยู่ที่ 5.50-5.65% ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกองทุน
"ถึงแม้ว่าจะไม่สูงมากนัก แต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งนับจากนี้บริษัทจะเร่งขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ส่งลูกไปเรียนต่อในประเทศอังกฤษ กลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินปอนด์ ซึ่งสามารถนำเงินมาลงทุนในระยะสั้นได้ โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฝากเงินในประเทศ" นายธีรพันธุ์ กล่าว
สำหรับสถานการณ์ตลาดเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ จากวันที่กองทุนเริ่มลงทุนในวันที่ 26 พฤษภาคม 2551 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 63.6057 บาทต่อปอนด์ และในวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 64.1780 บาท ส่งผลให้กองทุนได้รับส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 0.5723 บาท หรือประมาณ 0.90%
นายธีรพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทยังเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น 38 ( KT3M38) ในระหว่างวันที่ 3-9 มิถุนายน 2551 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุ 3 เดือน เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มุ่งจะให้เกิดความคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือ บัตรเงินฝากที่บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบัตรเงินฝาก ที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก หรือทรัพย์สินอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีความเสี่ยงเทียบเคียงได้กับตราสารภาครัฐไทย ทั้งนี้ โดยได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต. โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารข้างต้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยอัตราผลตอบแทนของตราสารที่ลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3.10% ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน โดยปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประจำ3 เดือนอยู่ที่ 2.00% ต่อปี และต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 15%
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--