(เพิ่มเติม) HEMRAJ ปรับเพิ่มเป้ายอดขายที่ดินปี 51 เป็น 1.5 พันไร่ จาก 1.3 พันไร่

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 5, 2008 16:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายเผ่าพิทยา สมุทรกลิน ผู้อำนวยการฝ่ายลงทุนสัมพันธ์และวางแผน บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) กล่าวว่า บริษัทเตรียมพิจารณาปรับเป้าหมายรายได้ตามเป้ายอดขายที่ดินในปีนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันไร่หรือมากกว่านั้น จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 1.3 พันไร่ 
ในไตรมาส 1/51 บริษัทมียอดขา่ยที่ดินแล้ว 636 ไร่ จาก 12 สัญญา โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นลูกค้าใหม่ 5 ราย และการขยายกิจการของลูกค้้ารายเดิม 7 ราย รวมเป็นจำนวนลูกค้าปัจจุบัน 372 ราย ในจำนวนดังกล่าวเป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 123 ราย
นายเผ่าพิทยา เชื่อว่า ไตรมาสที่เหลือยอดขายที่ดินยังเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากขณะนี้มีลูกค้าเข้ามาติดต่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสามารถมียอดขายที่ดินไตรมาสละ 300 ไร่ จะทำให้ยอดขายที่ดินเป็นไปตามที่วางไว้ที่ 1.5 พันไร่
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/51 ถือว่ามียอดขายที่ดินค่อนข้างมาก จากการที่บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซื้อที่ดินถึง 412 ไร่ และยอดขายจากที่ดินดังกล่าวยังถือเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทในปีนี้ประมาณ 50% และอีก 25% มาจากการรับรู้รายได้โครงการ เดอะ พาร์ค ชิดลม ที่ขณะนี้มียอดขายแล้ว 83% ซึ่งเหลืออีก 17% จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสามารถปิดโครงการได้ภายในปีนี้ิ
นายเผ่าพิทยา กล่าวว่า บริษัทจะพยายามเร่งการโอนโครงการเดอะพาร์คชิดลมให้แล้วเสร็จตามยอดขายปัจจุบันและจะปิดการขายชั่วคราว จากนั้นจะเปิดขายโครงการที่เหลือประมาณ 37 ยูนิตในช่วงไตรมาส 3/51 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นราคาขายตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน โครงการเดอะ พาร์ค มีมูลค่า 6,250 ล้านบาท จาก 4.6 พันล้านบาท เพราะที่ผ่านมาได้มีการทยอยปรับราคาขายไปแล้วทำให้มูลค่าเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงการ เดอะ พาร์ค ชิดลม จะปิดโครงการได้ภายในสิ้นปีนี้ และบริษัทคงจะพิจารณาหาที่ดินใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัททดแทนโครงการเดอะ พาร์ค ชิดลม
"ในปีนี้โครงสร้างรายได้หลัก ยังคงมาจากนิคมฯ และเดอะพาร์คฯ ถึงแม้เราจะมีธุรกจิื่นเข้ามาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าหรือออฟฟิศให้เช่า และเรายังมี Backlog ณ สิ้นไตรมาส 1 จำนวน 1.6 พันล้านบาท ส่วนการรับรู้คงจะขึ้นกับการพัฒนาและความต้องการในการใช้พื้นที่" นายเผ่าพิทยา กล่าว
ในส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้านั้น นายเผ่าพิทยา คาดว่า บริษัทจะเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 600 เมกะวัตต์ได้ในช่วงไตรมาส 3/51 และจะเปิดเดินเครื่องและรับรู้รายได้ในปี 54
นายเผ่าพิทยา ระบุว่า สำหรับปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้่นในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับราคาขายที่ดินไปแล้วประมาณ 1 แสนบาท/ไร่ จากราคาเฉลี่ย 2 ล้า้นบาท/ไร่ ขณะเดียวกันก็จะปรับราคาค่าบริการน้ำในนิคมอุตสาหกรรมเฉลี่ย 3% ในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งเป็นการปรับตามราคาต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยราคาค่าบริการน้ำเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 12 บ/ลบ.ม.
ส่วนความคืบหน้าในการออกหุ้นกู้ บริษัทคงยังเดินไปตามแผนเดิมที่จะออก 2-3 พันล้านบาท คาดว่าจะเห็นได้ไม่เกินเดือนส.ค.นี้ อายุ 3-5 ปี โดยเม็ดเงินที่ได้จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจอื่นๆ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ