นายวัชรพัธ วัชราภัย ผู้จัดการทั่วไป แผนกธุรกิจใหม่และวางแผนกลยุทธ์ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ(NWR)กล่าวยอมรับว่า บริษัทเริ่มกังวลว่าในปีนี้อาจจะไม่สามารถพลิกผลประกอบการมามีกำไรได้ตามที่คาดหวังไว้ เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากทั้งเหล็กและน้ำมัน โดยเฉพาะราคาเหล็กที่พุ่งแรงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมากว่า 20% ซึ่งอาจจะกระทบอัตรากำไรขึ้นต้น(Gross Profit Margin)ลดลงเหลือเพียง 3-4% จากในอดีตที่เคยอยู่ในระดับ 6%
แม้ว่าในไตรมาส 1/51 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 108 ล้านบาท แต่ก็เป็นกำไรที่เกิดจากการยกเลิกการตั้งสำรองของผู้บริหาร ไม่ได้เป็นกำไรที่เกิดขึ้นจริง แต่อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทมีสัดส่วนงานภาครัฐในปัจจุบันกว่า 82% ช่วยรับผลกระทบด้านต้นทุนไปได้บ้าง เนื่องจากได้รับการปรับค่า K ขึ้น 4% ช่วยทำให้ไม่กระทบ Gross Profit Margin รุนแรงมากนัก
นายวัชรพันธ์ กล่าวว่า ในด้านรายได้ยังเชื่อว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จากปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้(Backlog)สูงถึง 1.4 หมื่นล้านบาท ถึงแม้โครงการเหมืองถ่านหินแม่เมาะ ซึ่งมีมูลค่างาน 9 พันล้านบาทจะล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้ว่าจะต้องเข้าไปดำเนินการตั้งแต่ต้นปี จึงอาจส่งผลต่อการรับรู้รายได้จากที่คาดไว้ว่าจะเข้ามาประมาณ 500 ล้านบาทในปีแรก และปีถัดไปปีละ 1 พันล้านบาท
"โครงการถ่านหินแม่เมาะเป็นงานเปิดหน้าดินไม่ใช้เหล็ก จึงไม่ได้รับผลกระทบทางลบจากต้นทุนเหล็กที่ปรับขึ้นนัก อีกทั้ง กฟผ.จะช่วยเหลือทางด้านต้นทุนพลังงานด้วย" นายวัชรพัธ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการรับงานก่อสร้างพลาดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.6 พันล้านบาท โดยสามารถทำได้เพียง 1.3 พันล้านบาทจากปัญหาการเมืองที่ส่งผลกระทบในช่วงสั้น แต่บริษัทก็ยังหวังว่าจะมีรายได้เข้ามาในเดือนมิ.ย นี้ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่กว่า 4 พันล้านบาท
นายวัชรพันธ์ กล่าวว่า ในปี 51-52 บริษัทมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนมูลค่ารวม 7.7 หมื่นล้านบาท หรือจำนวนมากกว่า 11 โครงการ อาทิ โครงการสร้างและปรับปรุงถนน ถนนราชอุทิศ มูลค่า 1.6 พันล้านบาท ในส.ค.51 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงมูลค่าโครงการ 5.4 หมื่นล้านบาทเปิดประมูลภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการสร้างศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร มูลค่า 5 พันล้านบาท คาดว่าจะประมูลประมาณ ก.พ.52
สำหรับปัญหาการมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ได้ทำให้งานก่อสร้างภาครัฐชะลอไป เพราะถูกกำหนดไว้ในงบประมาณแล้ว แต่น่า
จะส่งผลกระทบต่อผู้รับเหมางานเอกชนที่ไม่กล้ารับงานเพิ่ม แต่จะหันมาแย่งงานภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันสูงขึ้น อาจกระทบให้บริษัทมีโอกาสรับงานใหม่ได้น้อยลง
แต่อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทหันไปรับงานต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านช่วยได้บ้างจากสัดส่วน 14% ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง โดยในปีนี้ปริมาณงานในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งหลายงานอยู่ระหว่างประมูลในปีนี้ บริษัทหวังจะได้งานสร้างถนนในประเทศลาว มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท เป็นงานต่อเนื่องที่บริษัทได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วประมาณ 1 พันล้านบาท และบริษัทได้เปรียบในด้านเครื่องมือที่มีอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวแล้วไม่ต้องเสียค่าขนส่ง
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--