บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(UNIQ)เผยปี 51 ขอประคองตัวในสถานการณ์ไม่เป็นใจทั้งจากการเมืองไม่นิ่งและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นสูง โดยเฉพาะปัจจัยการเมืองทีมีส่วนทำให้โครงการภาครัฐล่าช้าไป ตั้งเป้าขอแค่รักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 8% แม้ว่ารายได้รวมปีนี้ตั้งเป้าไว้ประมาณ 2 พันล้านบาทต่ำกว่าปีก่อนที่มี 2.75 พันล้านบาท จากงานในมือ(backlog)ที่มีอยู่ 3 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 50
ยอมรับปีนี้งานใหม่ไม่ได้มาก เพราะไม่อยากเสี่ยง แต่คาดหวังครึ่งปีหลังจะได้งานโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-ตลิ่งชัน)ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)กำลังเตรียมเสนอบอร์ดตัดสินผลประมูล หลังครึ่งแรกของปีนี้บริษัทได้งานกทม.กอดไว้แล้วมูลค่าราว 1 พันล้านบาท ช่วงนี้ไม่ขอรุกงานต่างประเทศ เพราะงานภาครัฐยังล้นมือ
"ผมคิดว่าตอนนี้อย่าไปคิดว่าเติบโตไม่เติบโต แต่คิดว่างานที่เราจะทำต้องมีกำไรสำคัญกว่า การเติบโตเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงมา เราเองก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ แต่เป็นเพราะว่าภาวะการณ์ต่างๆไม่เอื้อกับบริษัท อย่าไปคิดว่าจะต้องโตในตอนนี้ การรับงานแต่ละชิ้นต้องมีกำไรจริงๆ ฉะนั้นเวลารับงานเราต้องเผื่อต้นทุนที่อาจจะปรับสูงขึ้น""นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ UNIQ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายนที ยอมรับว่า ในปีนี้โอกาสที่บริษัทจะรับงานมีน้อยลง เพราะเน้นอัตรากำไรเป็นสำคัญทำให้อาจจะต้องเสนอราคาสูงกว่ารายอื่น อย่างไรก็ตาม การรับงานแต่ละงานไม่ได้ตั้งประมาณการกำไรไว้ตายตัว แล้วแต่งาน ซึ่งหากงานที่มีมูลค่าขนาดใหญ่ก็อาจจะมีกำไรขั้นต้นน้อย ขณะที่บางงานที่มีคู่แข่งน้อยก็สามารถบวกมาร์จิ้นได้เพิ่ม
นายนที คาดว่า ในปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะใกล้เคียงจากปีที่แล้วที่ประมาณ 8% ส่วนกำไรสุทธิ ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะดีกว่าปีก่อนหรือไม่ เพราะยังมีปัจจัยเรื่องวัสดุก่อสร้างกับคู่แข่ง ซึ่งมีสองเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องหลัก ถ้าบริษัทต้องการงานก็ต้องยอมลดมาร์จิ้นลง
"ถ้าหากงานไหนไม่มีมาร์จิ้น หรือมาริจิ้นต่ำก็คงเลือกไม่ได้งานดีกว่าเพราะ cost ไม่นิ่ง และไม่รู้จะขึ้นอีกมากน้อยเท่าไร การเข้าประมูลแต่ละงานเราต้องประเมินเป็น case by case"นายนที กล่าว
"ไม่กังวลที่งานจะเข้ามาน้อย คือเรามองว่าสิ่งที่เราบริหารความเสี่ยงเราได้ระมัระวังมากพอสมควร ถึงแม้เราไม่โตเราก็ไม่กลัว เพราะว่าถึงไม่โตแต่เราก็อยู่ได้อย่างสบาย เพราะฉะนั้น ไม่อยากให้มองว่าเราต้องได้งานเยอะแยะ เราจะต้องโตเท่านั้นเท่านี้ มันไม่ใช่เป็นเป้าของเรา ในภาวะการณ์อย่างนี้ใครยิ่งโตยิ่งเสี่ยงสูง เราไม่โตมากจริงแต่เราอยู่อย่างสบายๆ" นายนที กล่าว
ทั้งนี้ งานในมือ(backlog) ณ สิ้นปี 50 อยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท มั่นใจจะไม่มีการตั้งสำรองขาดทุน เพราะงานเหล่านี้บริษัทได้ตั้งงบเผื่อไว้อยู่แล้ว และมีการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กไว้ล่วงหน้าแล้ว รวมทั้งยังมีค่า K หรือ ค่าชดเชยการก่อสร้างของภาครัฐอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ในปี 50 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 2,753.60 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 159.91 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 1/51 บริษัทมีรายได้ 568.28 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 24.03 ล้านบาท (ลดลง 22.11% จาก Q1/50)
*ครึ่งปีหลังขอแค่งานรถไฟสายสีแดงก็พอใจแล้ว
นายนที คาดว่า บริษัทจะได้งานก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในช่วงครึ่งปีหลัง ระยะทาง 15 กิโลเมตร ราคากลางงานโยธา 8,748.40 ล้านบาท โดยขณะนี้รอคำยืนยันจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการดังกล่าว
"ในครึ่งปีหลัง ถ้าเราได้รถไฟสายสีแดงเราก็พอแล้ว ไม่อยากโลภมาก ซึ่งก็ถือว่าเยอะแล้ว" นายนที กล่าว
ทั้งนี้ นายนคร จันทศร รักษาการ ผู้ว่าการ รฟท.ระบุว่า จะนำเรื่องให้คณะกรรมการรฟท.พิจารณาในสัปดาห์หน้า หลังจากคณะกรรมการพิจารณาผลประกวดราคาโครงการได้ตัดสินให้กลุ่มบริษัทกิจการร่วมค้า UNIQUE-CHUN WO JOINT VENTURE ประกอบด้วย UNIQ และ Chun Wo Construction & Engineering Co.,Ltd ผ่านคุณสมบัติเพียงรายเดียว
ส่วนในช่วงครึ่งปีแรก UNIQ ประมูลงานของ กทม.ได้มา 1 โครงการใหม่ มูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท
นายนที ยังกล่าวว่า บริษัทยังสนใจเข้าร่วมประมูลงานโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทุกสาย โดยเร็วๆนี้ก็จะมีการขายซองรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน ทั้งนี้ บริษัทจะต้องพิจารณารายละเอียดของเงื่อนไขการเข้าประมูลโครงการหรือทีโออาร์ ถ้าโครงการไหนเราทำเองได้ ก็จะไม่ร่วมกับรายอื่น แต่ถ้าทีโออาร์กำหนดว่าต้องมี ก็อาจหาพาร์ทเนอร์จากจีนและญี่ปุ่นเข้ามาร่วมด้วย
ด้านงานก่อสร้างของ กทม.ซึ่งเป็นงานหลักของบริษัท ในปีนี้ยังประเมินได้ยาก เพราะภาวะการเมืองไม่นิ่ง ส่งผลให้โครงการต่างๆ ต้องล่าช้าออกไป บริษัทจึงไม่สามารถประมาณการได้ชัดเจน
สำหรับโครงการรถเมล์ด่วนพิเศษ (บีอาร์ที) สายช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ ของกทม. มูลค่าประมาณ 1.9 พันล้านบาท นายนที กล่าวว่า ขณะนี้ทางกทม.ไม่ได้เร่ง โดยไม่รู้เหตุผลแท้จริง ทั้งที่ตามแผนเดิมน่าจะเสร็จไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 51 แต่งานที่บริษัทดำเนินการอยู่เสร็จไปแล้ว ประมาณ 60% แต่ถึงแม้จะมีการชะลอโครงการนี้ก็ไม่ได้ผลกระทบต่อรายได้บริษัทมากนัก เพราะส่วนที่เหลือมูลค่าโครงการก็ไม่ได้มาก และไม่มีผลกระทบเรื่องค่าปรับ
นายนที กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่พร้อมเข้ารับงานต่างประเทศ ต้องรอให้มั่นใจว่าบริหารงานนต่างประเทศให้ได้เสียก่อน โดยเบื้องต้นมองประเทศเพื่อนบ้านก่อน ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเข้าไป เนื่องจากงานในประเทศมีอีกมากและน่าสนใจกว่า โดยแต่ละปี มีงานภาครัฐที่ผ่านงบประมาณปีละกว่า 1 แสนล้านบาท เพียงแต่ว่าขณะนี้มีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนสูงมาก
"ความไม่แน่นอน ได้แก่ ระบบการเมือง วัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวตามราคาน้ำมัน เพราะฉะนั้นตอนนี้เราอยู่สบายๆดีกว่า"นายนที กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทไม่มีแนวคิดเพิ่มงานของเอกชน เนื่องจากจะมีความเสี่ยงภาคเอกชนที่เครดิตอาจไม่ดีเท่าภาครัฐ ถ้ามีปัญหากับผู้ว่าจ้างจะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ก็จะกลายเป็นภาระหนัก
ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มสถานการณ์ในครึ่งปีหลังก็คงไม่ต่างกับครึ่งปีแรก รัฐบาลก็อยากจะเร่งโครงการ แต่ไม่สามารถเร่งได้ เพราะถ้าการเมืองแข็งแรง การตัดสินใจโครงการจะเร็ว ถ้าไม่แข็งแรง การตัดสินใจก็ย่อมช้า
ปัจจุบัน UNIQ งานในมือเป็นหน่วยงานราชการ 100% โดยเป็นงานของกทม.เป็นหลักประมาณ 70-80% แต่ระยะหลังเริ่มกระจายไปหน่วยงานอื่นเพิ่มขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--