นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส(ASP)กล่าวยอมรับว่า จากการประเมินสถานการณ์ของเวียดนามถือว่า ณ ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเหมือนประเทศไทยในอดีตก่อนฟองสบู่จะแตก แต่สถานการณ์ของเวียดนามเลวร้ายกว่า เพราะมีปัญหาหลายอย่างรุมเร้าเข้ามาพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงิน และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาปรับขึ้นถึง 25% การขาดดุลการค้าต่อเนื่องหลายเดือน
ขณะที่ราคาที่ดินของอสังหาริมทรัพย์ก็แพงมาก โดยราคาที่ดินในย่านธุรกิจอยู่ที่ 2 ล้านบาท/ตร.ม. และราคาเช่าสำนักงานแพงกว่าไทยถึง 2-3 เท่า
"ถือเป็นปัญหาฟองสบู่ของอสังหาฯ ทีเดียว และตลาดหุ้นเวียดนามจากที่สูงสุดวอลุ่มเกิน 1 ล้านเหรียญ/วัน หรือประมาณ 3 พันล้านบาทมาอยู่ที่วันละ 300 ล้านบาท...ตลาดหุ้นไทยดีกว่าเยอะ และเราก็ไม่มีปัญหา"นายก้องเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าว เกิดจากการเวียดนามไม่มีประสบการณ์และทำให้เศรษฐกิจโตเร็วจนเกินไป จะเห็นได้จากการตั้งเป้าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ไว้สูงถึง 9% แต่หลังจากนั้นปรับลงมาเหลือ 7% เนื่องจากรัฐบาลได้เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแท้จริง แต่อย่างไีรก็ตาม เชื่อว่าทางการเวียดนามคงจะำพยายามหาทางแก้ไข
นายก้องเกียรติ เชื่อว่า ปัญหาเศรษฐกิจของเวียดนามคงไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อประเทศไทย แต่จะกลายเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะราคาหุ้นเราไม่แพง ค่า P/E ก็ยังอยู่ในระดับต่ำถึงแม้สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะกระทบต่อราคาหุ้นบ้าง แต่ในบางธุรกิจเท่านั้น เพราะต่างชาติไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุนในตลาดหุ้นมากนัก ทุกประเทศก็มีปัญหาทั้งนั้น
สำหรับมุมมองต่อปัจจัยต่างๆ ยอมรับว่า ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจในโลกมีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับ อยู่ในช่วงการปรับตัวกับสถานการณ์พลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่ชะลอตัวลง เพราะปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลง แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นจังหวะของหุ้นกลุ่มพลังงาน เพราะได้อานิสงค์จากการปรับราคาน้ำมันที่สูงกว่าเงินเฟ้อ
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--