ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (11 มิ.ย.) หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจะบั่นทอนอำนาจซื้อของผู้บริโภคและบีบให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในที่สุด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 205.99 จุด หรือ 1.68% ปิดที่ 12,083.77 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 22.95 จุด หรือ 1.69% ปิดที่ 1,335.49 และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 54.93 จุด หรือ 2.24% ปิดที่ 2,394.01 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.39 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.12 พันล้านหุ้น
นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นอย่างหนักหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 5.07 ดอลลาร์ แตะระดับ 136.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงเช่นนี้ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลเรื่องเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงมาจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางยุโรปอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ นอกจากนี้ รายงานสต็อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงเกินคาดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่หนุนราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นด้วย
แจนนา แซมป์สัน นักวิเคราะห์จากบริษัทโอ๊คบรู๊ค อินเวสท์เมนท์ กล่าวว่า "นอกเหนือจากราคาน้ำมันแล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงาน Beige Book ของเฟดที่ระบุว่า ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบอย่างหนักจากราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของสหรัฐยังคงชะลอตัวลง"
"นักลงทุนตื่นตระหนกกับทุกๆปัจจัยที่เกี่ยวกับข้องเงินเฟ้อ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ และตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค ราคาน้ำมันและอาหารที่แพงขึ้นกำลังบั่นทอนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวทรุดตัวลง โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยย่อมมีมากขึ้น แต่ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในยามที่เศรษฐกิจอ่อนแอเช่นนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มเข้าสู่ภาวะ stagflation แล้ว" แซมป์สันกล่าว
หุ้นกลุ่มการเงินถูกแรงขายทุบร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นเลห์แมน บราเธอร์ส ดิ่งลง 13.6% และปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปี 2545 หลังจากเมอร์ริล ลินช์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเลห์แมนลงสู่ระดับ "neutral" จากเดิมที่ระดับ "buy"
ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วง 2.9% หลังจากมีข่าวลือแพร่สะพัดในตลาดว่า โกลด์แมน แซคส์อาจต้องตัดบัญชีหนี้สูญ อย่างไรก็ตาม โฆษกของโกลด์แมน แซคส์ ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวลือในครั้งนี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--