นางสุวรรณ พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์(QH)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่าคงจะเลื่อนแผนการขายทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาทให้กับกองทุน QHPF ไปเป็นปี 52 จากเดิมที่จะเห็นในปลายปี 51 เพื่อรอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมของเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งขณะนี้ยังรอประกาศกฎกระทรวงให้มีผลบังคับใช้
แต่อย่างไรก็ตาม การเลื่อนแผนงานดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการลดหนี้สินต่อทุน(D/E)จากปัจุบัน 1.2 เท่าให้เหลือ 1 เท่าตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนของบริษัท เพราะการระดมทุนผ่านกองทุนในครั้งนี้เพื่อต้องการนำไปลดภาระเงินกู้เท่านั้น
แผนขายทรัพย์สิน 4 รายการเข้า QHPF ประกอบด้วย Serviced Apartment รวม 3 อาคารและอาคารสำนักงาน 1 อาคาร ส่วนโครงการหลังสวนตอนนี้ผ่านการอนุมัติปรับเป็นคอนโดมิเนียมจากจากเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์จากการที่บริษัทยื่นขอ EIA โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/51 ก่อนที่จะสร้างเสร็จในช่วงกลางปี 52
นางสุวรรณ กล่าวว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็น prime location และเป็นคอนโดฯระดับซูเปอร์ไฮเอนด์สามารถทำราคาขายได้ดี จึงมีโอกาสในการที่ปรับราคาขายได้ ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1.8 แสนบาทต่อตารางเมตร แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องพิจารณาสภาพตลาดโดยรวมอีกครั้งด้วย
สำหรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ประกอบด้วยคาซ่าคอนโดฯรัชดา-ท่าพระ, คิวเฮ้าส์คอนโดฯ ตากสิน-สาทรและที่หลังสวน ซึ่งจะช่วยในการสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทในอนาคต รองรับการเติบโตของยอดขายต่อเนื่องเพิ่มเติมจากที่มีเฉพาะโครงการแนวราบ โดยคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ระยะเวลา 2 ปีเริ่มในปี 52 ประมาณ 1 พันล้านและไปรับอีกประมาณ 4 พันล้านบาทในปี 53
นางสุวรรณา กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่าปี 51 กำไรของบริษัทจะน่าจะเติบโตได้ถึง 30% สูงกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 20% เพราะมีรายได้ภายใต้มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารและตีกลับมาเป็นกำไร ประกอบกับอัตราการเข้ามาซื้อโครงการของผู้บริโภคก็ไม่ได้ลดลงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่ารายได้ในไตรมาส 2/51 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/51 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแนวราบทั้งโครงการเดิมและโครงการที่เปิดในปีนี้บางส่วน
"เราเชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่องในเรื่องของกำไรในปีนี้ที่มากกว่าเราวางไว้ และยิ่งกำไรในปี 2552 จะยิ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำเพราะเรารับ 2 เด้ง ทั้งในการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโด และยังได้รับเงินจากภาษีล็อตสุดท้ายอีก" นางสุวรรณากล่าว
ส่วนการเติบโตของรายได้ในปี 51 น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 9,000 กว่าล้านบาท เนื่องจากสามารถทยอยรับรู้รายได้จากการโอนบ้านอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในส่วนของบ้านเดี่ยว โดยในครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 8 โครงการ จากทั้งปี 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ทำเลในกรุงเทพเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะซื้อที่ดินเพิ่ม โดยเบื้องต้นได้วางงบในการซื้อที่ดินไว้ประมาณ 3,800 ล้านบาท สำหรับเงินที่จะนำมาลงทุนนั้น จะมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินและเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--