PRO คาด Q2/51เริ่มพลิกมีกำไร/ชะลอธุรกิจกำจัดกากอิเล็คฯ หันทำธุรกิจใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 16, 2008 11:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี(1999)หรือ PRO เริ่มฟื้นตัวจากการลงทุนธุรกิจใหม่จากธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียม ผนวกกับธุรกิจเดิมคือธุรกิจฝังกลบขยะที่รายได้ทยอยดีขึ้น คาดในไตรมาส 2/51 เริ่มพลิกมีกำไร หลังบริษัทขาดทุนนานกว่า 2 ปี  ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังเดินหน้าธุรกิจกำจัดขยะปนเปื้อนสารปรอท คาดจะเริ่มดำเนินการได้ไตมาส 1/51 ส่วนธุรกิจกำจัดขยะกากอิเล็กทรอนิกส์ชะลอออกไปปีหน้า เพราะมีคู่แข่งเข้ามามาก และบริษัทกำลังคิดหันไปจับโครงการใหม่ทีเกี่ยวข้องกับธุรกิจกำจัดขยะ คาดสรุปได้ในปีนี้      
พร้อมตั้งเป้าล้างขาดทุนสะสมให้หมดภายในปี 52 โดยขณะนี้มีจำนวนขาดทุนสะสมอยู่ 229 ล้านบาท(ณ สิ้นไตรมาส 1/51) โดยปีนี้จะนำส่วนเกินมูลค่าหุ้น จำนวน 138.8 ล้านบาท หักกลบออกไป ส่วนที่เหลือก็จะนำกำไรจากการดำเนินงานไปล้างขาดทุนต่อไป
"คิดว่าปีนี้มีกำไรอยู่แล้ว ไตรมาส 2 ก็เริ่มกลับมาเป็นกำไร ปีนี้น่าจะมีกำไรแต่ยังอาจไม่เยอะ ถือว่าปีนี้เราเริ่ม Turnaround"นายเกรียงไกร เลิศศิริสัมพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการสายบัญชีการเงินและบริหารสำนักงาน PRO กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
PRO ประสบผลขาดทุนตั้งแต่ปี 49 โดยขาดทุน 157.31 ล้านบาท และในปี 50 ขาดทุน 131.31 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจฝังกลบขนะใน จ.สระแก้วถูกปิดจากปัญหาขัดแย้งกับประชาชนในพื้นที่ จนกระทั่งเพิ่งได้ต่อใบอนุญาตใหม่อีก 5 ปี (ปี 50-54)
สำหรับไตรมาส 1/51 บริษัทยังขาดทุน 20.08 ล้านบาท แต่ก็ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะธุรกิจเดิม ที่สระแก้วยังกลับมาไม่ถึงจุดคุ้มทุน รายได้ยังไม่กลับมาอยู่ในภาวะปกติ และธรุกิจใหม่ยังมีรายได้น้อย
นายเกรียงไกร กล่าวว่า บริษัทคาดว่า ปี 51 จะมีกำไรจากธุรกิจเดิมคือ ธุรกิจฝังกลบขยะที่จ.สระแก้ว ซึ่งเริ่มมีรายได้ทยอยเข้ามาแล้ว หลังเปิดดำเนินการจริงในเดือนพ.ย.50 โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้จากธุรกิจนี้เข้ามาประมาณ 200-250 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียม ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ จะมีรายได้เข้ามามากในไตรมาส 2/51 และ 3/51 โดยโรงงานใหม่เริ่มจะผลิต ก็จะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2 เท่าตัวจากเดิมมียอดขาย 200 ล้านบาท ก็จะเพิ่มเป็น 600 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้เต็มปีในไตรมาส 3/52 โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียมประมาณ 300 ล้านบาท
ดังนั้น รวมทั้งปี 51 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 500-550 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้า รายได้จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 900 ล้านบาท จากธุรกิจฝังกลบขยะที่รายได้กลับเข้ามสู่ภาวะปกติที่ประมาณกว่า 300 ล้านบาท และ ธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียม อีก 600 ล้านบาท
และยังธุรกิจกำจัดสารปนเปื้อนปรอทที่ได้ร่วมทุนกับเนเธอร์แลนด์ โดยบริษัทถือ 80% ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาปีหน้าประมาณเกือบ 1 พันล้านบาท ขณะนี้โรงงานเริ่มก่อสร้างคาดว่าจะเปิดได้ในไตรมาส 1/52 ซึ่งใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท
"แนวโน้มธุรกิจในปีนี้ เราจะกลับมาในธุรกิจเดิม แน่นอนคงจะไม่กลับมาเหมือนเดิม เราก็เติมไปด้วยธุรกิจใหม่ ที่เราเทคโอเวอร์มา ทำให้เราสามารถพลิกเป็นกำไรได้ รวมทั้งในปีหน้า ธุรกิจใหม่จะเพิ่มขึ้น ธุรกิจเดิมก็จะเรียบร้อย คาดว่าจะกลับมาปกติ" นายเกรียงไกร กล่าว
เมื่อปลายปี 50 บริษัทได้เข้าเทคโอเวอร์ บริษัท เจ ที เอส อลูมิเนียม แอนด์ เมทเทิล จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหล่อหลอมอลูมิเนียมสำเร็จรูป ,นำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) จากเศษอลูมิเนียม และขี้เถ้าอลูมิเนียม สินค้าหลัก คือ แท่งอลูมิเนียมขายให้อุตสาหกรรมที่ใช้อลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบในการผลิตเช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ เป็นต้น
*ชะลอทำธุรกิจกำจัดกากขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปปีหน้า
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การลงทุนธุรกิจกำจัดกากขยะอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทจะชะลอไปก่อนถึงปีหน้า เพราะเห็นภาวะเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวย และมีธุรกิจที่หลายรายเข้ามาแข่งขัน มีผู้เข้ามาเล่นในตลาดมาก อาจทำให้ราคาค่าบริการเสียไป ซึ่งสถานการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นที่สิงคโปร์แล้ว
"ธุรกิจนี้ชะลออกการลงทุนออกไปปีหน้า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ซึ่งตัวเงินเลงทุนคงปรับลดลง และต้องการรอให้ผู้เล่นรายใหม่ที่ทำไม่เป็นที่ขาดประสบการณ์ ให้ตายออกจากตลาดไปก่อน ตอนนี้มีคนเข้ามาเยอะแยะ ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้"นายเกรียงไกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินลงทุนขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ เพราะอยู่ระหว่างการปรับแผนอยู่ จากเดิมตั้งไจลงทุนประมาณ 200 กว่าล้านบาท
ประกอบกับ ในปีนี้บริษัทก็มีโครงการอื่นที่น่าสนใจกว่า เป็นโครงการใหม่ 1 โครงการ ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องธุรกิจกำจัดขยะ อาจจะสรุปได้ปีนี้
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ยังมองว่า ธุรกิจกำจัดขยะอุตสาหกรรม ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ซึ่งบริษัทมีศักยภาพเติบโตหลายเท่า ขณะเดียวกันก็มีจำนวนคู่แข่งมากขึ้น อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดในธุรกิจนี้ คือความเข้มงวดของภาครัฐ ซึ่งขยะอุตสาหกรรมของไทยมีจำนวนมากที่จะยังอยู่นอกระบบ มากกว่า 1.4 ล้านตัน หากภาครัฐเข้มงวดอุตสาหกรรมนี้ก็จะเติบโตด้วย
แต่ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ภาครัฐก็มุ่งไปที่การฟื้นตัวเศรษฐกิจก่อน และการเข้าไปเข้มงวดก็จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการด้วย
"ศักยภาพธุรกิจกำจัดขยะอุตสาหกรรมเติบโตมีหลายเท่า เช่น ขยะอันตราย มีอยู่ทั้งหมด 1.4 ล้านต้น แต่น่าจะเข้าสู่ระบบแค่ 4 แสนตันเอง"นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนของบริษัทจะมาจากเงินกู้สถาบันการเงิน เพื่อนำเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพะราะปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ต่ำอยู่ประมาณ 0.3-0.4 เท่า
นอกจากนี้ การเข้าร่วมทุน Enviro-Hub Holding Limited ซึ่งเป็นพันธมิตรสิงคโปร์ เข้าถือหุ้น PRO ในสัดส่วน 23% ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งจะเข้ามาขยายธุรกิจใหม่ และแก้ไขปัญหาธุรกิจ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านฐานทุน
*ปีนี้นำส่วนเกินมูลค่าหุ้นหักล้างขาดทุนสะสม
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีขาดทุนสะสมอยู่จำนวน 229 ล้านบาท(ณ สิ้นไตรมาส 1/51) บริษัทมีแผนจะนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่มีอยู่ 138.9 ล้านบาท มาหักกลบออกไปภายในปีนี้ ส่วนที่ยังเหลือจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนสะสมต่อไป และคาดว่าภายในปี 52 จะล้างผลขาดทุนสะสมได้หมด ฉะนั้น ในช่วงปี 51-52 บริษัทจึงยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ