นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN)เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอีก โดยบริษัทจะแบ่งขายโครงการใหม่ทีละเฟส โดยเริ่มจากโครงการ“ลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา"ที่มีมูลค่าการลงทุน 5 พันล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานมา
โครงการดังกล่าวเป็นอาคารชุดพักอาศัยที่มีความโดดเด่นด้านทำเลอยู่กลางใจเมือง ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 สะดวกในการเดินทางไปยังเขตธุรกิจชั้นในเนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบนดินได้ โดยขายในราคาเริ่มต้นตารางเมตรละ 51,000 บาท ผ่อนดาวน์เดือนละ 7 พันกว่าบาท
“เนื่องจากสถานการณ์ด้านราคาน้ำมันที่ผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการก่อสร้าง ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาด้านการควบคุมต้นทุนและไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปรับราคาขายได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตอบรับความต้องการจองซื้อของลูกค้าเก่าและลูกค้าในย่านนี้ที่ได้แสดงความจำนงไว้ก่อนหน้า บริษัทฯ จึงจะเปิดขายห้องชุดในราคาพิเศษเฉพาะวันที่ 21 มิถุนายน 2551 เพียงจำนวน 30% ของ ห้องชุดทั้งหมด หลังจากนี้ บริษัทฯ จำเป็นต้องมีการประเมินสถานการณ์และต้องมีการปรับราคาขายเพื่อให้สอดรับกับต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นต่อไป"นายโอภาส กล่าว
นายโอภาส กล่าวต่อว่า การแบ่งเฟสขายถือเป็นกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่ประเมินว่าจะปรับขึ้น 10% อีกทั้งยังเป็นการบริหารความเสี่ยง ที่ผ่านมาการปรับราคาของ LPN ตั้งแต่เริ่มต้นถึงปลายทางจะปรับกระมาณ 5% ซึ่งโครงการนี้จะแบ่งเป็นในเฟสแรก 30% ในราคา 57,000 บาท/ยูนิต และเฟสถัดไป 62,000 บาท/ยูนิต
พร้อมทั้ง คาดว่าจากการเปิดขายโครงการวันที่ 21 มิ.ย.นี้จะมียอดขาย 50% เนื่องจากโครงการอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งมีความต้องการสูง และราคาไม่แพง
โครงการลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา ประกอบด้วย ห้องชุดพักอาศัยในเฟส 1 จำนวน 1,165 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการรวมประมาณ 15 ไร่ ซึ่งจะเป็นโครงการในแบรนด์ “ลุมพินี เพลส" อีกเพียงโครงการเดียวสำหรับปีนี้ ที่นอกจากจะน่าสนใจในด้านทำเลและราคาแล้ว ยังได้นำแนวคิดด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมภายใต้คอนเซ็ปท์ “LPN Green" มาใช้ในการพัฒนาโครงการ นับตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ LPN จะยังคงบุกเบิกการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ “ลุมพินี คอนโดทาวน์" เพื่อเป็นเรือธงของบริษัทที่จะสามารถบุกเบิกฐานลูกค้ากลุ่มกลาง-ล่าง ซึ่งมีอยู่จำนวนมากและกระจายอยู่ตามเขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วในการบุกเบิกซิตี้คอนโด
ในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเปิดตัวโครงการคอนโดทาวน์ 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการละ 1.5 พันล้านบาท โดยใช้งบที่ดิน 800-1,000 ล้านบาท จะเป็นการเปิดเพื่อรองรับดีมานด์ที่มีระดับราคากลาง-ล่าง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการร์ปัจจุบันที่ผู้บริโภคระมัดระวังมากขึ้น โดยระดับราคาขายจะอยู่ที่ประมาณยูนิตละ 6.5-7.0 แสนบาท
สำหรับรูปแบบคอนโดทาวน์ ทางบริษัทคงขอประเมินสถานการ์ก่อน อาจเปิดทีละเฟส เพื่อให้สามารถปรับราคาขายได้
"ตอนนี้ปัจจัยทุกอย่างเป็นปัจจัยลบเกือบทั้งหมด ทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใต ตอนนี้ทุกคนกังวลจึงทำให้ระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย แต่หากคลี่คลายทุกคนก็น่าจะปรับตัวได้ดีกว่านี้ ซึ่งการเปิดคอนโดทาวน์ก็สอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงนี้ และการที่เราปรับตัวก็ไม่น่าจะทำให้เราได้รับผลกระทบจนรุนแรง" นายโอภาส กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยที่กดดดัน ทั้งราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อลดลงไปบ้าง รวมถึงการเปิดตัวคอนโดทาวน์ที่อาจกระทบมาร์จินปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่การที่ได้มาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์เข้ามา ทำให้เชื่อว่าในปีนี้ยังรักษาอัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin) ได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 16% ได้ แต่ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) อาจปรับตัวดลงมาที่ 30% จาก 34% ในปีก่อนหลังจากขยายฐานมาสู่ระดับล่าง
สำหรับโครงการที่เปิดในปีนี้ เป็นไปตามเป้าที่ 7 โครงการ โดยครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 3 โครงการ และครึ่งปีแรกจะมียอดรับรู้รายได้ที่ 4 พันล้านบาท ขณะที่ยอดขาย 5 พันล้านบาท ส่วนในไตรมาส 2/51 คาดว่ายอดขายจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/51 ที่มียอดขาย 1.3 พันกว่าล้านบาท และยังมาจากโครงการพระราม 9 อีกประมาณ 1 พันล้านบาทที่จะเข้ามาในครึ่งปีแรก ขณะที่ยอดรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นไปตามแผนที่ 8 พันล้านบาท โดยมี backlog แล้ว 7 พันล้านบาท
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--