(เพิ่มเติม) MILL ปรับเพิ่มเป้ายอดขายปี 51 เป็น 1 หมื่นลบ.หลังรวมเหล็กบูรพา-ราคาพุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 16, 2008 16:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ (MILL) ปรับเป้ายอดขายปี 51 เป็น 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมคาดว่ารายได้มีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 9 พันล้านบาทหลังควบรวมบริษัท เหล็กบูรพา จำกัด หรือเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บีอาร์พี จำกัด ที่คาดว่าจะทำรายได้ 2.5-3 พันล้านบาทในช่วง พ.ค.-ธ.ค.
ประกอบกับ ราคาเหล็กเพิ่มขึ้นประมาณ 70-80% เชื่อว่าครึ่งปีหลังยังคงตัวในระดับสูง รวมทั้ง การใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 10% พร้อม มั่นใจเป้าหมายอัตรากำไรสุทธิปี 51 จะทำได้ 5% เพิ่มจากปีก่อนที่มีประมาณ 3%
MILL คาดว่าในไตรมาส 2/51 คาดรายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตกว่า 10% จากไตรมาส 1/51 ที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างมาก โดยมีกำไรสุทธิ 76 ล้านบาท และมีรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาท โดยรับรู้รายได้จากบีอาร์พีเข้ามาในงบการเงินตั้งแต่เดือน พ.ค.51
"ไตรมาส 2 เราน่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เกิน 10% เพระเรามีสินค้าหลากหลายมากขึ้น ราคาขายก็สูงมาก"นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ MILL กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณกว่า 4 พันล้านบาท หลังจากเริ่มรับรู้รายได้บีอาร์พีในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
อนึ่ง ในปี 50 MILL มีรายได้ 3.3 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 105.6 ล้านบาท
นายสิทธิชัย กล่าวว่า ในส่วนของ MILL ได้เพิ่มสายการผลิตในเหล็กรูปพรรรณ ที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท และใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 10% ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตปีนี้เป็นประมาณ 70% จากปีก่อนอยู่ที่ 50% ของกำลังการผลิตเต็มที่ 5 แสนตัน/ปี เพิ่มมาเป็น 3 แสนกว่าตัน/ปีในปี 51 ทั้งเหล็กรูปพรรณ และเหล็กเส้น และเมื่อรวมกับของบีอาร์พี จะทำให้ MILL มีกำลังการผลิตรวมเป็น 9 แสนตัน/ปี
นอกจากนี้ ราคาขายสูงขึ้น ประมาณ 70-80% จากปีก่อนทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตาม โดยปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ประมาณ 36-37 บาท/กก. และมองแนวโน้มราคาเหล็กในช่วงครึ่งปีหลังคงทรงตัวในระดับสูง หรืออาจปรับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งปกติบริษัทมีนโยบายสต็อกเหล็กประมาณ 3 เดือน แต่บริษัทไม่เคยสต็อกได้เกิน 2 เดือนเลย เพราะมีออเดอร์ลูกค้ารออยู่แล้ว
"เพราะเรามั่นใจว่าเดินการตลาดได้ชัดเจนและถูกต้อง จึงมีผลิตภัณฑ์หลากหลายมากขึ้น ส่วนหนึ่ง ราคาเหล็กสูงขึ้น ยอดขายก็สูงขึ้นโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ในแง่การซื้อวัตถุดิบ ก็มีราคาสูงขึ้น โบนัสที่บริษัทเหล็กจะได้กำไรจากการเก็บสต็อก ฉะนั้นกำไรก็โดขึ้นตามยอดขาย ขายเยอะ ผลิตเยอะ ต้นทุนก็ต่ำลง" นายสิทธิชัย กล่าว
นายสิทธิชัย ยังเปิดเผยว่า บริษัทมีแผนออกตัวสินค้าเหล็กชนิดพิเศษที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ภายใต้แบรนด์เนมของบ MILL เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท โดยเป็นเหล็กที่ช่วยให้ผู้ประกอบการลดการสูญเสียในการใช้งาน ไม่ต้องตัดหรือเชื่อมเหล็กเพิ่ม ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ คาดว่าจะเปิดตัวใน 1-2 เดือนข้างหน้า
ขณะเดียวกัน บริษัทวางแผนเดินสายโรดโชว์หวังดึงกลุ่มสถาบันหรือกองทุนรวมเข้าลงทุนหุ้น MILL ในระยะยาว โดยปัจจุบัน กลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูล ถือหุ้นใหญ่ MILL ในสัดส่วน 30-40%
"ที่เหลือไม่สนว่าใครจะถือก็ได้ ไม่สนใจว่าจะเป็น กองทุน หรือส่วนตัว แต่ขอให้เป็น long term invesrtment ซึ่งตอนนี้เรากำลังคุยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกองทุน แต่ก็ไม่กำหนดว่าจะต้องมาถือเท่าไร" นายสิทธิชัย กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนรวมถึอไม่เกิน 5%
ราคาหุ้น MILL ขณะนี้เคลื่อนไหวที่ 6.60 บาท ลบ 0.05 บาท (-0.75%) ณ เวลา 16.28 น.

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ