บมจ.อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) หรือ AEONTS ยังคาดว่ารายได้ในงวดปี 51(สิ้นสุด ก.พ.52) จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากงวดปีก่อนที่มีรายได้รวม 8.98 พันล้านบาท โดยเน้นขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เห็นสัญญาณผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อสูงต่อสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ยอมรับกังวลว่าอาจจะมีผลต่อลูกค้าที่เป็นหนี้เสีย หรือ NPL แต่ยังมั่นใจว่าทั้งปีจะมีสัดส่วนไม่เกิน 3% จากปีก่อนอยู่ในระดับ 2.7-2.9% ขณะเดียวกันภายในปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้จำนวน 3 พันล้านบาทในตลาดญี่ปุ่น
"คิดว่ารายได้ในปี 51 จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% เช่นเดียว 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่บริษัทก็มีการปรับตัวล่วงหน้ามากว่า 1 ปี โดยการลดต้นทุน เช่น ด้านบุคคลากร อาคารสถานที่ แต่ในช่วงที่เหลือของปีก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ปีนี้ ไม่ได้แย่ไปกว่าปีที่แล้ว แต่เป็นห่วงปัจจัยเดียวคือ เงินเฟ้อ ที่จะสูงกว่าปีที่แล้ว"นายอภิชาต นันทเทิม กรรมการบริหาร AEONTS กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายอภิชาต กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมายอดหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนี้ค้างชำระมากกว่า 3 เดือน ส่วนใหญ่ในกรุงเทพมากกว่าต่างจังหวัด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าและค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง และปัจจุบันพอร์ตลูกค้าของบริษัทมีสัดส่วนเป็นลูกค้าในต่างจังหวัดสูงกว่า 52% ที่เหลือเป็นลูกค้าในกรุงเทพ
แต่บริษัทยังคาดว่างวดปีนี้ยอด NPL น่าจะไม่เกิน 3% ของยอดลูกค้าทั้งหมดที่มี 3 แสนราย จากปีก่อนมียอด NPL ที่ระดับ 2.7-2.9% โดยขณะนี้บริษัทมียอดลูกค้า active อยู่ที่ 2 แสนราย โดยบริษัทมีแผนเพิ่มยอดลูกค้าใหม่ โดยจะเติบโตไปกับพันธมิตรคู่ค้า ได้แก่ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) , ห้างเทสโก้ โลตัส และ เจมาร์ท
"NPL ตอนนี้อยู่ระดับ 2.7-2.9% และงวดปี 51 NPL ไม่น่าเกิน 3% แม้ว่าปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อสูงต่อเนื่อง แต่บริษัทก็ติดตามสุถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และประเมินว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปี 51 ยังคงได้รับผลลบจากปัจจัยราคาน้ำมัน ภาวะทางการเมือง เช่นเดียวก้บปี 50 แต่ความไม่แน่นอนเรื่องปัจจัยการเมืองและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงทำให้บริษัทไม่สามารถประเมินอัตราการเติบโตของเงินเฟ้อได้" นายอภิชาต กล่าว
*ออกหุ้นกู้ 3 พันลบ.ภายในปีนี้-เล็งเปิดธุรกิจขายตรง
กรรมการบริหาร AEONTS คาดว่า บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ไม่เกิน 3 พันล้านบาท เป็นสกุลเงินเยน อายุ 5 ปี ซึ่งจะขายทั้งจำนวนในตลาดญี่ปุ่นภายในปีนี้ เชื่อว่าจะมีต้นทุนทางการเงินประมาณ 6-6.5% แม้ว่าอัตราเงินกู้ของญี่ปุ่นจะถูกกว่าไทยที่อยู่ประมาณ 2% แต่เมื่อรวมต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงก็จะอยู่ในระดับ 6% ใกล้เคียงการออกหุ้นกู้ในไทย
"บริษัทจะเสนอขายหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจงในประเทศญี่ปุ่น จะทำให้ D/E (อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน) เพิ่มจาก 5.8 เท่า เป็น 7 เท่า แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นแต่แต่ยืนยันว่าไม่อยู่ในระดับสูงมาก เมื่อเทียบกับธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ ที่ปกติมี D/E จะอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า เรายังจะสามารถออกตราสารหนี้อื่นได้อีก" นายอภิชาต กล่าว
ทั้งนี้ เงินทุนที่ระดมทุนได้จากหุ้นกู้จะนำมาขยายกิจการ โดยเน้นการขยายฐานลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีแผนทำธุรกิจขายตรงสินค้าเป็นของตัวเอง ซึ่งยังไม่สามารถได้ข้อสรุปว่าจะเริ่มดำเนินการเมื่อไร แต่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ก็ได้รับความเห็นชอบแล้ว
นายอภิชาติ กล่าวว่า ธุรกิจขายตรงอาจจะเป็นการขายสินค้าพร้อมปล่อยสินเชื่อให้กับสินค้าประกันชีวิต เครื่องใช้ไฟฟ้า และไอที ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษา ซึ่งบริษัทแม่ในญี่ปุ่นมีประสบการณ์ขายตรงแล้ว
"หากบริษัทได้ขายสินค้าเอง ก็จะทำให้บริษัทมีรายได้ 2 ทาง คือ กำไรจากการขายสินค้าและการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังศึกษารอบคอบ ก่อนลงทุนจริง"นายอภิชาติ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทได้ตั้งสำนักงาน 3 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดต่อ โดยลดการเดินทางมายังกรุงเทพ
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--