(เพิ่มเติม) ฟิทช์ประกาศให้อันดับเครดิต SVI แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 19, 2008 12:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) (SVI) ที่ "BBB+(tha)" และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ "F2(tha)" แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
การให้อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงตำแหน่งในตลาดของ SVI ในอุตสาหกรรมบริการการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EMS) ซึ่งเน้นไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ non-traditional ที่เติบโตรวดเร็วและมีความผันผวนต่ำ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ SVI โดยบริษัทมีเงินสดสุทธิ 478 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมราคา อยู่ที่ 0.1 เท่า ณ สิ้นปี 2550
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจรับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Manufacturing Service) ซึ่งบริษัทเน้นผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ระดับบนประเภท non-traditional ที่มีอัตราการเติบโตสูง มีความผันผวนของความต้องการต่ำกว่า และมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า นอกจากนี้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดรับประกอบแผงวงจรไฟฟ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท non-traditional ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มการขยายตัวของความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สูง ตลอดจนแนวโน้มที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer) จะว่าจ้างผู้รับประกอบแผงวงจรไฟฟ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้ผลิตแทนมากขึ้น
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งโดย ณ สิ้นปี 2551 บริษัทมีเงินสดสุทธิจำนวน 478 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Total adjusted debt to EBITDAR) ที่ 0.1 เท่า
ถึงแม้ว่า SVI จะมีฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง อันดับเครดิตของ SVI ได้ถูกจำกัดด้วยปัจจัยความเสี่ยงซึ่งได้แก่ การที่บริษัทมีการกระจุกตัวของกลุ่มลูกค้า แนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจการรับประกอบแผงวงจรไฟฟ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ non-traditional และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของบริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม SVI ยังคงมีการเติบโตของรายได้และความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ในปี 2550 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (EBITDAR) เพิ่มขึ้น 27% มาอยู่ที่ 441 ล้านบาท ในขณะที่ อัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross margin) และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (EBITDAR margin) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.8% และ 7.6 % ในปี 2550 จาก 11.4% และ 6.8% ในปี 2549 ตามลำดับ ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2551 SVI น่าจะยังคงสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำได้ โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Total adjusted debt to EBITDAR) จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.0 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของบริษัทประกอบด้วยความเสี่ยงจากความผันผวนของความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดและสถานะการเงินของบริษัทได้ อีกทั้ง SVI ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเกือบทั้งหมดจะอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และสกุลเงินยูโร ในขณะที่หนี้สินส่วนใหญ่อยู่ในรูปสกุลเงินบาท อย่างไรก็ตามความเสี่ยงดังกล่าวได้ถูกลดทอนบางส่วนจากการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพของ SVI สะท้อนถึงแนวโน้มที่ SVI จะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไร และสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพียงพอสำหรับเงินลงทุนและเงินปันผล และรักษาอัตราส่วนหนี้สินและสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบัน
SVI (เดิมชื่อ บริษัท เซมิคอนดักเตอร์ เวนเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2528 เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการประกอบแผงวงจรไฟฟ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร บริษัทมุ่งเน้นผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป (Turnkey Box Build) ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปประเภทงานระบบ (System Build) และประกอบแผงวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board Assembly) ให้แก่ลูกค้าที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ใช้ในอุตสาหกรรม (Original Equipment Manufacturer) ผู้ถือหุ้นหลักของ SVI ประกอบด้วย H&Q Asia Pacific Group (กองทุนส่วนบุคคลซึ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง) ซึ่งถือหุ้น SVI อยู่ 59% และมีผู้ถือหุ้นรายย่อยถือหุ้นในส่วนที่เหลือ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ