SABINA ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2.2 พันลบ.โตเกิน6%-อัตรากำไรสุทธิสูงกว่า12%

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday June 21, 2008 13:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซาบีน่า (SABINA) เปิดเผยว่า คาดว่ารายได้จากการจำหน่ายสินค้าในประเทศจะชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังปีนี้จากปัจจัยทางการเมือง และการที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นส่งผลให้ประชาชนมีการลดค่าใช้จ่ายลงนั้น แต่การที่บริษัทผลิตภายใต้แบรนด์ตัวเองทำให้มีความยืดหยุ่น บริษัทจึงจะหันไปส่งออกสินค้าไปจำหน่ายต่างประเทศทั้งในภายใต้แบรนด์ของบริษัทและการรับจ้างผลิต(โออีเอ็ม)มากขึ้นเป็น 45% ลดรายได้จากการขายในประเทศเหลือ 55% จากต้นปีนี้ที่บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากต่างประเทศ 40%  ส่วนรายได้จากการขายในประเทศที่ 60% 
ส่วนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น ส่งดีต่อบริษัททำให้มีกำไรมากขึ้นในส่วนของคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่รับแล้วและออร์เดอร์ใหม่ที่จะเข้ามา บริษัทจึงมีแผนขายต่างประเทศมากขึ้น และจากการที่บริษัทมีการเปลี่ยนกลุ่มตลาดต่างประเทศจากอเมริกาไปยุโรปนั้น ทำให้บริษัทมีกำไรจากการขายมากขึ้นจากราคาจำหน่ายในยุโรปสูงกว่าในอเมริกา ดังนั้นส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทปีนี้อาจจะเพิ่มขึ้นจากที่วางไว้ 12% ส่งผลให้กำไรปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าปี 2550 โดยปี 2550 บริษัทกำไรสุทธิ 122.7 ล้านบาท
บริษัทยังคงมีเป้าหมายที่จะเน้นทางด้านการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองในการจำหน่ายสินค้าในประเทศไทยมากขึ้น โดยคาดว่ารายได้ปีนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ 2,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปี 50 ที่มีรายได้ 2,000 ล้านบาท โดยยอดขายของบริษัท 5 เดือนแรกปีนี้ดีขึ้นจากที่ในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทมียอดขายที่ดีที่สุดเนื่องจากเป็นช่วงที่ใกล้เปิดเทอมของนักเรียน นักศึกษาที่จะต้องมีการซื้อสินชุดชั้นในใหม่ส่งผลให้ไตรมาส 2/51บริษัทมีรายได้ดีกว่าไตรมาส1/51 ที่บริษัทมีรายได้รวม 480 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท แต่ในช่วงไตรมาส 3/51เป็นช่วงที่บริษัทมียอดขายไม่ดีจากเป็นช่วงที่มีการลดราคาสินค้า
ส่วนการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ซึ่งสวนกับตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง บริษัทไม่ทราบว่านักลงทุนกล่มใดเข้ามาลงซื้อหุ้นของบริษัทโดยจะต้องรอให้มีการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นในช่วงสิ้นเดือนนี้ก่อนถึงจะทราบ ซึ่งส่วนตัวมองว่าอาจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ หรือกองทุนเข้ามาซื้อหุ้น ประกอบกับจำนวนหุ้นของบริษัทมีจำนวนที่น้อยเมื่อมีความต้องการซื้อทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ