ROJANA ระบุการเมืองไม่กระทบเชื่อทั้งปีได้ตามเป้า หลัง 5 เดือนทำได้ 50%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 23, 2008 15:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJANA) เผยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาบริษัทสามมารถขายที่ดินได้ประมาณ 300 ไร่ คิดเป็น 50% ของเป้าหมายทั้งปี 600 ไร่ ทำให้การทำถึงเป้าทั้งปีไม่น่ายาก ซึ่งจะทำให้มีรายได้จากการขายที่ดินเข้ามาในปีนี้ราว 1,500-1,800 ล้านบาท ยืนยันปัญหาการเมืองในประเทศไม่ได้ถ่วงการลงทุนของกลุ่มลูกค้าหลัก โดยเฉพาะนักลงทุนจากญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการเมืองไทยดีอยู่แล้วและมั่นใจว่าไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง 
"เราเซ็นสัญญาขายที่ดินไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 300 ไร่ ปกติลูกค้าของเราก็เป็นกลุ่มเฉพาะ และก็มีแผนการลงทุนแน่นอน จะมีบางรายที่เขากำลัง survey ตลาด ก็คงรอดูสถานการณ์การเมืองเรา" น.ส.อมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ ROJANA กล่าวกับ "อินโฟเควสท์"
ปัจจุบัน ROJANA มีกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งตอนนี้ที่มีเข้ามาทำเพื่อผลิตรถอีโคคาร์ , กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ และ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า
น.ส.อมรา กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่นที่มีสัดส่วน 60-70% มีความรู้จักและคุ้นเคยกับการเมืองไทยดีกว่ากลุ่มนักลงทุนอื่น ทำให้ไม่ตื่นตระหนกกับสถานการณ์การเมืองขณะนี้ ส่วนกลุ่มยุโรปและสหรัฐ ก็ยอมรับว่ามีความกังวลอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการลงทุนโตยตรงส่วนใหญ่ในไทยในขณะนี้ก็ยังเป็นกลุ่มนักลงทุนจากญี่ป่น
ขณะที่การรับรู้รายได้จากจากโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศจีน จะเป็นปีแรกที่จะรับรู้ประมาณ 30% ของมูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท หรือรับรู้รายได้ประมาณ 800-900 ล้านบาท ที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปี 52 และเหลือบางส่วนต้นปี 53 โดยจะเริ่มก่อสร้างโครงการในปีนี้ และค่าใช้จ่ายในงานก่อสร้างยังอยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนจะลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในจีนเพิ่มเติม เพราะต้องมองจังหวะการลงทุน ทั้งทำเลที่ตั้งด้วย
ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการขายที่ดินในนิคมฯ และ คอนโดมิเนียมในจีน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-60% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้จากสาธารณูปโภคมีสัดส่วน 30% และที่เหลือจะมาจากกำไรจากการลงทุนในบมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น(TICON) ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 21-22%
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นส.อมรา ระบุว่าปี 51 บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้รวม 7 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 10%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ