นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า คณะกรรมการตลาดฯ มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างองค์กร และเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในปี 2554 หลังจากทางบริษัท บอสตัน คอนเซาท์ติ้ง กรุ๊ป (BCG) เสนอผลการศึกษาแผนการแปรรูป เนื่องจากขณะนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีทิศทางที่เปลี่ยนไป และการแแปรรูปยังมีส่วนพัฒนาสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวม
นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้มีการกำหนดแนวทางการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ใน 5 ปีข้้างหน้า (2552-2556) ได้มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจนใน 5 ปีข้างหน้า โดยกำหนดจะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอีก 2 เท่า เป็น 12 ล้านล้านบาท จาก 6 ล้านล้านบาท และตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า ภายในปี 2556 เป็น 4 พันล้านบาท จาก 2 พันล้านบาท โดยร้อยละ 25 ต้องเป็นรายได้จากการออกสินค้าใหม่
รวมทั้ง การมีบริษัทจดทะเบียนจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ซึ่งจะมีการกำหนดแผนกลยุทธ์ เพื่อให้มีการดำเนินงานที่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ด้านโครงสร้างองค์กรนั้น คณะกรรมการ ตลท.อนุมัติให้มีการแยกงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุน และ ส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเน้นการทำงานในแต่ละด้าน คือ การพัฒนาตลาดทุนในระยะยาว และการดำเนินธุรกิจตลาดทุน
ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุนจะมีหน่วยงานที่ดูแลงานด้านการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุน และการพัฒนาความแข็งแกร่งให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน งานด้านบรรษัทภิบาล และกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของตลาดทุนไทยที่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่พัฒนาตลาดทุนอย่างชัดเจน
ในขณะที่ ตลท.จะต้องมีการจัดโครงสร้างที่ชัดเจน ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ และผู้ลงทุน ดูแลงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ รวมถึงดูแลงานหลังการซื้อขายทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทั้ง 2 กลุ่มงาน จะได้รับการจัดสรรเงินจากเงินกองทุนของ ตลท.ให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาตลาดทุน
นางภัทรียา กล่าวว่า ตลท.จะดำเนินการเพื่อปรับโครงสร้างขององค์กรให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2551 นี้เป็นต้นไป โดยโครงสร้างองค์กรใหม่จะมีผลตั้งแต่ต้นปี 2552 ในขณะเดียวกัน จะได้มีการจัดเตรียมแผนกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว 5 ปีข้างหน้า
ในด้านการแก้ไขกฎหมาย คาดว่าจะสามารถนำเสนอแก้ไขได้ในปี 2552 โดยจะมีการนำรายละเอียดที่สำคัญ อาทิ โครงสร้างการถือหุ้น การกำกับดูแลหน่วยงานในตลาดทุนหลังการแปรสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น ไปหารือพร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้ง หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง รวมถึงเตรียมนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตลาดฯได้ให้ทาง BCG กลับไปศึกษาถึงเรื่องทุนจดทะเบียนที่เ่หมาะสมของตลาดฯ โดยปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท
"การหารือในครั้งเราได้มีการคุยกับ BCG และได้เสนอถึงกรอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของตลาดฯว่าจะมีโครงสร้างเป็นอย่างไร และสัดส่วนการถือหุ้นที่เหมาะสม แต่ตรงนี้จะต้องมีการพิจารณาร่วมกับก.ล.ต.และโบรกเกอร์ด้วย" นางภัทรียา กล่าว
ส่วนเรื่องการแยกองค์กรนั้นจะมีการลดจำนวนคนหรือไม่ นางภัทรียา กล่าวว่า คงไม่มีการลดจำนวนคนแต่จะจัดสรรให้เหมาะสมกับงานในแ่ต่ละด้าน
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--