นางสมนึก แสงอินทร์ กรรมการ บมจ.ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์(TUCC) คาดว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้จะเติบโตได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ในระดับ 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2 พันล้านบาท โดยในปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ราว 2,300-2,500 ล้านบาท เนื่องจากมียอดขายจากผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเข้ามาประมาณ 400-500 ล้านบาท
แต่ในแง่ของกำไรสุทธิก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากผลของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจากการสำรวจตลาดก็ได้รับการตอบรับที่ดี
แต่จะมีกำไรสูงกว่าปีก่อนหรือไม่ยังตอบได้ยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง บางครั้งมีกำไรขั้นต้นที่สูง ก็มีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เข้ามา อย่างปีที่ผ่านมามีประเด็นเรื่องมาตรฐานบัญชีต้องตั้งสำรองเพิ่มทำให้ต้องบันทึกกำไรลดลง แต่ที่ผ่านมากำไรจากการดำเนินงานก็เพิ่มขึ้น
ขณะที่รายได้ในช่วงไตรมาส 2/51 น่าจะเป็นไปตามคาด ซึ่งโดยปกติรอบการขายของ TUCC ในช่วงไตรมาส 2 ของทุกปีจะต่ำลงจากไตรมาสแรก เพราะช่วงเดือนเม.ย.กลุ่มอุตสาหกรรมจะหยุดประมาณครึ่งเดือนไม่รับออเดอร์ก็จะส่งของไม่ได้ ขณะที่ไตรมาส 3/51
และ 4/51 ก็จะเพิ่มขึ้นตามเป้า
อนึ่ง ไตรมาส 1/51 มีกำไรสุทธิ 16.95 ล้านบาท มีรายได้รวม 554 ล้านบาท ส่วนทั้งปี 50 บริษัทมีกำไรสุทธิ 30.67 ล้านบาท
*คาดผลิตภัณฑ์ใหม่ทำรายได้ 1 พันลบ.ในปี 52 จากเดินเครื่องผลิตเต็มที่
นางสมนึก กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทติดตั้งเครื่องจักรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะสามารถขยายกำลังการผลิตท่อสแตนเลสที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีรูปแบบ ลวดลายมากขึ้น โดยบริษัทได้จดทะเบียนสิทธิบัตรไว้ประมาณ 9 แบบ เป็นสินค้าใหม่ในระดับ Luxury ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาที่ 15-30% ขณะที่ผลิตภัณฑ์เดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 15% จึงคาดว่าจะทำให้กำไรสุทธิปีนี้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การผลิตในส่วนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงคาดว่าจะทำรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวในสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขายรวม ซึ่งจะส่งมอบสินค้าตัวอย่างล็อตแรกให้กับลูกค้ามูลค่าประมาณ 50 ล้านบาทได้ในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ และเริ่มรับรู้รายได้จากออร์เดอร์ส่วนแรกราว 10 ล้านบาทเข้ามาในไตรมาส 2/51 ที่เหลือจะทยอยส่งมอบในช่วงไตรมาส 3-4/51
จากนั้นในปี 52 คาดว่าจะมีออร์เดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กระบวนการผลิตจะเดินเครื่องได้เต็มที่ตลอดทั้งปี จึงคาดว่าจะมียอดขายจากส่วนนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดขายโดยรวมในปีหน้าเติบโตขึ้นอย่างมาก ส่วนจะเป็นเท่าไรนั้นคงต้องประเมินผลดำเนินงานในปีนี้ก่อน
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์หลักของ TUCC มี 2 ส่วน คือ ท่อเฟอร์นิเจอร์กับท่ออุตสาหกรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะเป็นท่อเฟอร์นิเจอร์ในสัดส่วน 70-80% แต่ระยะหลังตั้งแต่เข้าไปทำตลาดในกลุ่มที่ใช้สินค้าเราโดยตรง ทำให้ยอดขายท่ออุตสามารถเพิ่มขึ้นมาก
สำหรับผลิตภัณฑ์ท่ออุตสาหกรรมของ TUCC เป็นการนำสแตนเลสรีดเย็นมาขึ้นรูปและอบ ซึ่งทำให้ต้นทุนวัตถุดิบไม่ผันผวนมากเท่ากับนำเข้าแผ่นเหล็กรีดร้อนมาผลิต โดยราคาสแตนเลสขึ้นอยู่กับดีมานด์ซัพพลายในตลาดเป็นอันดับแรก อันดับสองขึ้นอยู่กับราคานิกเกิล ขณะที่ราคาน้ำมันมีผลแต่ไม่มากเท่า เพราะนิกเกิลเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างสำคัญ ขณะนี้บริษัทมีสต็อกวัตถุดิบและสินค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 1 เดือนเท่านั้น เพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงมากนัก
*ยังเน้นขายในประเทศเป็นหลัก แต่อาจมียอดส่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไปยุโรป-สหรัฐบ้าง
นางสมนึก กล่าวว่า บริษัทยังมียอดขายส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ เพราะการส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศยังมีข้อจำกัด ทั้งเรื่องกำลังผลิตและปริมาณสต็อกต้องสูงเพียงพอสอดคล้องกับปริมาณที่จะส่งออก ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องไปถึงเงินทุนหมุนเวียนที่จะต้องใช้ค่อนข้างสูง รวมทั้งประเด็นเรื่องค่าขนส่งที่ในไทยยังแพงกว่าประเทศอื่นๆในละแวกนี้มาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับจีน หากจะส่งไปจำหน่ายในตะวันออกกลาง
"นี่เป็นปัญหาบางทีเราเสนอราคาไปหรือบางครั้งสู้กันด้วยราคา ถ้ากำไรน้อยหรือไม่ได้กำไรก็ไม่เอา เพราะตลาดในประเทศเราก็ผลิตส่งลูกค้าไม่ทันแล้ว เรายังมีออเดอร์เยอะ"นางสมนึก กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีนี้บริษัทน่าจะมีส่งออกในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่บ้าง เพราะตลาดยุโรปและสหรัฐมีความต้องการค่อนข้างสูง ลูกค้าหลักแนวตกแต่ง เช่น รีสอร์ท สถานที่ราชการ โรงงานที่อยู่ริมทะเล ซึ่งเน้นเรื่องความสวยงามและความคงทนไปพร้อม ๆ กัน
นางสมนึก กล่าวว่า ในปีนี้ยังคาดว่าจะมียอดขายในกลุ่มลูกค้ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานและยานยนต์เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีไม่มากนัก เนื่องจากทางการมีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะอี 85 ซึ่งน่าจะทำให้มีการลงทุนในลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--