SEAFCO ปรับกลยุทธ์รับงานสู้วิกฤติต้นทุนพุ่ง ดันกำไรปี 51 สูงกว่าปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 27, 2008 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) คาดปี 51 จะมีกำไรสุทธิมากกว่าปีก่อนที่มี 22.73 ล้านบาท และรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาท จาก 1.85 พันล้านบาทในปีก่อน หลังบริษัทได้ปรับกลยุทธเพิ่มราคารับงานตามวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กที่ราคาทะยานขึ้นไปเร็วมาก หรือ หันมารับจ้างคิดแต่ค่าแรง แต่ให้เจ้าของงานหาวัสดุก่อสร้างเอง เพราะราคาเหล็กพุ่งจนทำให้งานที่รับไว้แทบไม่มีมาร์จิ้น โดยยอมรับว่างานเดิมที่ไม่ได้ปรับราคายังคงมีอยู่ในไตรมาส 2/51 
แต่เชื่อว่า ครึ่งปีหลังมาร์จิ้นบริษัทจะกลับมาเป็น 2 หลัก หลังจากปรับราคาเพิ่มในงานใหม่ และคาดว่าจะมีงานเพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 1 พันล้านบาท จากครึ่งปีแรกมีงานใหม่แล้ว 1 พันล้านบาท และ ณ สิ้นปีนี้ บริษัทจะคงเหลืองานในมือ(backlog)มูลค่าประมาณ 800-900 ล้านบาทที่ยกไปรับรู้รายได้ในปีหน้า
"ราคาเหล็กขึ้นไปสูง งานที่เรารับไว้ก็ได้ราคาไม่ดี แต่ก็เหลือไม่เยอะแล้ว ส่วนงานใหม่เป็นราคาใหม่ บางงานที่ไม่มั่นใจเราก็จะรับเฉพาะค่าแรง เจ้าของเขาก็หาคอนกรีต-เหล็กมาให้ ตรงนี้เป็นเรื่องชั่วคราวในภาวะไม่ปกติ เราก็ดูเป็นงานๆไป ปรับไปตามสถานการณ์"นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ดังนั้น ในช่วงนี้บริษัทก็ไม่ได้เน้นเรื่องอัตรากำไร(มาร์จิ้น)มากนัก เพราะยอมรับว่าเป็นช่วงภาวะไม่ปกติ ต้องพยายามหางานเพื่อประคองตัวเอง ตอนนี้จึงประเมินไม่ได้ว่ามาร์จิ้นโดยรวมจะดีขึ้นหรือลดลง เพราะมีงานหลายอย่างคละเคล้า และมีหลายงานที่มีมาร์จิ้นต่ำ เห็นได้จากในไตรมาส 1/51 บริษัทขาดทุนสุทธิ 3.94 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนทีมีกำไรสุทธิ 60.44 ล้านบาท เพราะประสบปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นเท่าตัว และงานของบริษัทมีอายุสัญญาสั้นประมาณ 3 เดือน ซึ่งไม่มีโอกาสแก้ตัว ก็ต้องทำให้เสร็จไป
"แต่ก็ต้องมาพิจารณาในครึ่งปีหลังว่า มาร์จิ้นน่าจะดีขึ้น ซึ่งพยายามทำให้ได้เป็น 2 หลัก แต่ครึ่งปีแรกคงไม่ได้อยู่แล้ว
...ไตรมาส 2 นี้ ค่อนข้างจะมีงานเก่าพอสมควรนะ ก็เกือบ 100% แต่ถ้าเราจะเห็นอะไรเด่นชัดก็ต้องเป็นครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นงานราคาใหม่ แต่ไตรมาส 2 เราพยายามล้างงานเก่าๆออกไปให้หมด" นายณรงค์ กล่าว
*ปรับกลยุทธ์รับงานเลือกงานเสี่ยงน้อย
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 51 ไว้ที่ 2 พันล้านบาท แต่จะได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะปรับกลยุทธ์ไปในแนวไหนบ้าง ต้องดูเหตการณ์ หากบริษัทรับงานเฉพาะค่าแรง ไม่คิดค่าวัสดุก่อสร้างมารวม ก็อาจทำให้รายได้ลดลง แต่มาร์จิ้นดีขึ้น ซึ่งในภาวะอย่างนี้จะกำหนดตายตัวไม่ได้ บริษัทต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ นอกจากนี้งานใหม่ที่ได้ปรับราคาใหม่ส่วนใหญ่จะรับรู้ในครึ่งปีหลัง
"ทั้งปีน่าจะดูดีขึ้น คาดว่าอย่างนั้น ตอนนี้ยังเหลือ 2 ไตรมาส เข้าใจว่าราคาจะปรับเปลี่ยนไปมากแล้ว และเราก็จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การรับงาน และเงื่อนไขสัญญาบางประการ ที่จะทำให้เราลดความเสี่ยง ออกไปได้"
“รายได้ปีนี้เราพยายามทำให้ได้ 2 พันล้านบาท ซึ่งก็ไม่ได้มากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ในภาวการณ์อย่างนี้ ถ้าเราได้เพิ่มขึ้นอย่างนี้ผมก็ถือว่าวิเศษแล้ว และกำไรในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะเข้ามาช่วยเราได้เยอะ ก็จะทำให้ทั้งปีกำไรน่าจะสูงกว่าปีที่แล้ว"นายณรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทก็พยายามประคับประคองหางานเข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะมีรายจ่ายประจำพอสมควร โดยช่วงครึ่งปีแรกงานก็ลดลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าตั้งแต่ไตรมาส 3-4 จนถึงปีหน้าที่จะมีเมกะโปรเจ็กท์ ออกมาก็เชื่อว่าจะมีงานเข้ามามากขึ้น
*คาดได้งานใหม่ 2 พันลบ.ปีนี้ เน้นรับงานรัฐเพิ่มหลังรัฐเพิ่มค่า K
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทมีงานที่ประมูลได้และรอเซ็นสัญญาประมาณ 7-8 งาน มุลค่ารวม 300-400 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานเอกชน โดยเป็นงานภาครัฐ 1 งาน ปัจจุบัน SEAFCO มี backlog มีอยู่ 1.4-1.5 พันล้านบาท (รวมงาน 3 งานใหม่ มูลค่า 210 ล้านบาท)
ขณะเดียวกัน บริษัทได้รับงานลอดอุโมงค์ของกรุงเทพมหานครมูลค่ากว่า 500 ล้านบาทแต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาครบถ้วนและยังไม่ได้ส่งมอบพื้นที่ ขณะที่ราคาเหล็กก็ยังปรับขึ้นอยู่ บริษัทจึงกำลังชั่งใจว่าจะเดินหน้าต่อหรือคืนงานไป เพราะเห็นว่ามติครม.ได้ปรับขึ้นค่า K ซึ่งต้องขอรอดูว่าจากมติครม.ดังกล่าวจะมีผลเมื่อไร และทางสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยจะมีท่าทีอย่างไร จากนั้นจะประชุมคณะกรรมการบริษัทอีกครั้งว่าจะตัดสินใจจะรับงานนี้ต่อหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตามเป้าหมายในปีนี้จะมีงานใหม่ 2 พันล้านบาท ครึ่งปีแรกได้งานมาแล้วประมาณ 1 พันล้านบาท คาดว่าในครึ่งปีหลังจะได้มาอีก 1 พันล้านบาท และสิ้นปี 51 จะเหลือ backlog ประมาณ 800-900 ล้านบาทที่จะยกไปรับรู้ปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้า ซึ่งเป้าดังกล่าวยังไม่รวมงานกทม.และงานประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่คาดว่าจะมีในปีหน้า
นายณรงค์ กล่าวว่า ปีนี้เพิ่มสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็น 40% จาก 30% ขณะที่งานภาคเอกชนปรับลดสัดส่วนลงมาที่ 60% จาก 70% เพราะภาครัฐมีค่า k เพิ่มขึ้นทำให้ความเสี่ยงต่างๆลดลง แม้ว่างานภาคเอกชนจะมีมาร์จิ้นดีกว่า
ส่วนงานที่กัมพูชา ขณะนี้กำลังรอผลประมูลงานเสาเข็มของอาคารสูงที่กรุงพนมเปญในวันที่ 4 ก.ค.เป็นงานของเอกชน ซึ่งตอนนี้ก็รอดูสถานการณ์การเมืองว่าจะมีปัญหาระหว่างประเทศหรือไม่ หลังมีกรณีนำเขาพระวิหารขึ้นจดทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่มีปัญหากับบริษัท เพราะถือว่าเป็นตัวเสริมรายได้เข้ามา ซึ่งเป็นงานทดลองตลาด หากดูแล้วมีความเสี่ยงบริษัทก็จะไม่รับงาน
ก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าไปรับงานต่างประเทศในสิงคโปร์ โดยตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งขณะนี้มีการติดตามงานที่สิงคโปร์ อยู่ด้วยเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ