บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 51 มีทิศทางปรับตัวลดลง และในวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือน ซึ่งสาเหตุมาจากการขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 51 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 46,000 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 97,000 ล้านบาท และทั้งปี 50 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 56,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนฐานะจากซื้อสุทธิในปีก่อนมาเป็นการขายสุทธิในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกล้วนแต่มีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน เห็นได้จากเมื่อเริ่มเปิดขายในปี 51 จนถึงวันที่ 24 มิ.ย. ดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ หลายแห่งทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก เช่น ดัชนีหุ้นเวียดนามร่วงลงร้อยละ 59.4 และดัชนีหุ้นจีนปรับลดลงร้อยละ 46.7 เป็นต้น
ส่วนการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้น ดัชนีร่วงลงไปแล้วถึง 94.35 จุด หรือร้อยละ 11.0 ไปปิดที่ 763.75 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 46,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยยังปรับลดลงไปไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ยกเว้นเพียงดัชนีตลาดหุ้นไต้หวัน และดัชนี NIKKEI ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ขณะที่ส่วนแบ่งของมูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกของปี 51 ลดลงจากร้อยละ 38 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 50 เหลือร้อยละ 32 อย่างไรก็ตามสัดส่วนดังกล่าวยังคงถือได้ว่าสูง ขณะที่ค่าความสัมพันธ์(Correlation) ระหว่างการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยกับมูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติยังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับค่าความสัมพันธ์ในช่วง 4 ปีก่อน โดยเพิ่มจากร้อยละ 2.7 เป็นร้อยละ 34.5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาดหุ้นไทย
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ การที่ตลาดหุ้นไทยมีราคาถูก(ค่า P/E ต่ำ) กว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน(Dividend Yield) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยค่า P/E ของตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือน พ.ค.51 อยู่ที่ประมาณ 11.36 ส่วน Dividend Yield อยู่ที่ร้อยละ 3.50
อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวอาจมีน้ำหนักลดลง เพราะหากเทียบค่า P/E ณ สิ้นเดือน พ.ค.51 กับต้นปี 50 จะพบว่าค่า P/E ของดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับประเทศเกาหลี ขณะที่ตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคลดลง นอกจากนี้หากเทียบกับตั้งแต่ต้นปี 51 พบว่าค่า P/E ของตลาดหุ้นอื่นๆ เช่น ดัชนีตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็ลดลงมาค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดหุ้นเหล่านี้เริ่มมีความดึงดูดมากขึ้นโดยเปรียบเทียบ
นอกจากนี้ แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติอาจจะถูกจำกัดด้วยความวิตกเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย เช่น สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทั้งการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีแนวโน้มจะดำเนินไปอย่างยืดเยื้อมากขึ้น และการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนชาวต่างชาติได้
อีกทั้งภาวะเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อของไทยกำลังปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปี หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน พ.ค.51 เร่งตัวขึ้นเกินคาดสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปีที่ร้อยละ 7.6 จากร้อยละ 6.2 ในเดือน เม.ย.51 โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยังกล่าวว่า มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อของไทยในระยะถัดไปจะขยายตัวเป็นเลขสองหลักเนื่องจากการเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า
--อินโฟเควสท์ โดย ตลฦ/รัชดา/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--