ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอีกกว่า 100 จุดเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) จากความกังวลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งทำสถิติใหม่และผลกระทบของวิกฤติสินเชื่อที่ยังไม่สิ้นสุด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 106.91 จุด หรือ 0.93% ปิดที่ 11,346.51 จุด ต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดีที่ร่วงลง 358 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ขยับลง 4.77 จุด หรือ 0.37% ปิดที่ 1,278.38 จุด และดัชนี Nasdaq ลบ 5.74 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 2,315.63 จุด
ตลอดสัปดาห์ ดาวโจนส์ร่วงลง 4.19%, S&P ลดลง 3% และ Nasdaq ร่วง 3.76%
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันศุกร์มีอยู่ประมาณ 1.4 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 2
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 460 จุดในระยะเวลาเพียงสองวัน และแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2549
นักลงทุนยังคงได้รับฟังปัญหาไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มการเงิน โดยมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิสเผยว่ากำลังจะทบทวนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของวาณิชธนกิจ มอร์แกน สแตนลีย์ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค อาจ write off หนี้เสียที่เกิดจากสินเชื่อจำนอง เกือบ 6 พันล้านดอลลาร์
นอกจากความกังวลเกี่ยวกับภาคการเงินแล้ว ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่พุ่งทะยานขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 142.99 ดอลลาร์ โดยตลาดยังคงกังวลว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้บริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าอื่นๆ หากบริษัทต่างๆตัดสินใจขึ้นราคาสินค้าเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น
อเล็กซานเดอร์ ปารีส นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ตลาดจากบาร์ริงตัน รีเสิร์ช ในชิคาโก กล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดกำลังจะลงสู่ระดับต่ำสุด แต่คำถามก็คือ มันจะร่วงนานหรือแค่แป๊บเดียว"
เมื่อวันศุกร์ยังได้มีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่ทำการสำรวจโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน ปรับตัวลดลงแตะที่ระดับ 56.4 จุดในเดือนมิถุนายน 2551 ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนได้คลายวิตกเล็กน้อยจากข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ค. เนื่องจากผู้เสียภาษีเริ่มได้รับเช็คคืนภาษี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.7% นอกจากนี้ กระทรวงยังเผยด้วยว่ารายได้ส่วนบุคคลปรับตัวขึ้น 1.9% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์มาก และหากคำนวณตัวเลขหลังหักภาษี รายได้ทะยานขึ้นถึง 5.7% ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดใน 33 ปี
ฮิวจ์ จอห์นสัน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจากจอห์นสัน อิลลิงตัน แอดไวเซอร์ส กล่าวว่า "ปัญหาก็คือไม่ได้มีความกังวลแค่เรื่องเดียว" แต่นักลงทุนกำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันแพง สถานการณ์ในตลาดสินเชื่อที่ยังคงตึงตัว และตลาดที่อยู่อาศัยที่หดตัว
สำหรับหุ้นในกลุ่มการเงิน เมอร์ริล ลินช์ ร่วง 35 เซนต์ แตะ $32.70 และซิตี้กรุ๊ปร่วง 42 เซนต์ แตะ $17.25
มอร์แกน สแตนลีย์ ร่วง 12 เซนต์ แตะ $36.71 หลังจากมูดี้ส์ออกมาเผยว่าผลการดำเนินงานทางการเงินและการจัดการความเสี่ยงของมอร์แกน สแตนลีย์ ไม่คงเส้นคงวานับตั้งแต่เกิดวิกฤติในตลาดสินเชื่อปีที่แล้ว
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--