นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไพลอน(PYLON)เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนที่จะเข้าประมูลโครงการภาครัฐและเอกชน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 400-500 ล้านบาท ซึ่งหากได้รับงานในโครงการดังกล่าวก็จะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/51เป็นต้นไป
ขณะที่ ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) รอรับรู้เป็นรายได้แล้วกว่า 450 ล้านบาท หลังเพิ่งได้รับงานเพิ่ม 6 โครงการ มูลค่าร่วม 139.29 ล้านบาท นับว่าบริษัททำได้เกินกว่า 50 % ของเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 550 ลบ. ซึ่งคาดว่างานที่มีอยู่ในมือทั้งหมดจะรับรู้เป็นรายได้ภายในไตรมาสที่ 4/51
"ถ้าดูจากปริมาณงานที่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งปริมาณงานที่บริษัทฯ คาดว่าจะประมูลได้ในปีนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่รายได้ในปีนี้จะเติบโตเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้เบื้องต้นที่ 550 ล้านบาท แต่ก็ยังคงเป้าหมายไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากยังมีตัวแปรอื่นที่อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจได้อีก โดยเฉพาะความเสี่ยงทางด้านการเมือง ที่เริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง"
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าส่วนแบ่งทางการตลาดจะเพิ่มขึ้นจาก 15% มาอยู่ที่ระดับ 20% ได้สำเร็จ ส่วนความสามารถในการหางานที่ปรับตัวดีขึ้น สังเกตได้จาก Backlog ที่เพิ่มสูงขึ้นมากจากปีก่อน และการแข่งขันที่เริ่มจะลดลง ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะทำให้ผลกำไรในปีนี้สูงกว่าที่ประมาณการไว้ด้วย
สำหรับแนวโน้มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าน่าจะยังทรงตัวจากครึ่งปีแรก หรือมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องได้ หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เกิดขึ้นได้เร็วในช่วงครึ่งหลังของปี เพราะจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าเปิดตัวมากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นมากทำให้ผู้ที่จะซื้อบ้านจะหันมาเลือกคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจก่อสร้างงานฐานรากสำหรับโครงการรถไฟฟ้าและคอนโดมิเนียมต่อเนื่องไปอีกหลายปี
ส่วนราคาวัตถุดิบ อาทิ เหล็กเส้น และน้ำมัน เชื่อว่ายังคงมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่องในครึ่งปีหลังนี้ แต่เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทคืองานฐานรากซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้างสั้นๆ เพียง2-3เดือน และบริษัทใช้นโยบายซื้อเหล็กเส้นทั้งหมดเมื่อเซ็นสัญญางานเพื่อล็อคต้นทุนไว้ ทำให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวไม่มากนัก เมื่อสิ้นสุดโครงการเดิมและเริ่มงานใหม่ก็สามารถปรับราคาใหม่ให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
นอกจากนั้น งานฐานรากยังเป็นงานต้นน้ำซึ่งมีความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระเงินค่อนข้างต่ำ ดังนั้นบริษัทจะยังคงรักษานโยบายในการขยายธุรกิจด้านงานฐานรากต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นได้ บริษัทจึงมุ่งขยายธุรกิจอย่างรอบคอบและระมัดระวังในการรับงานมากขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--