นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น(CRC)ผูบริหารห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือเซ็นทรัล เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับการลงทุนในประเทศจะลงทุนในห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน 8 สาขาใหม่ วงเงิน 6.6 พันล้านบาท ที่จะเปิดทำการในปี 51-53, เปิดสาขา Homework ที่กรุงเทพ 2 สาขา และภูเก็ต 1 สาขา ลงทุนรวม 2.5 พันล้านบาท
รวมทั้งใช้ปรับปรุงสาขา Top Supermarket 15 แห่ง และเปิดสาขาใหม่ 3 แห่ง/ปี งบประมาณแห่งละ 150 ล้านบาท นอกจากนั้นในช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังใช้เงินลงทุนกว่า 400 ล้านบาทเข้าซื้อกิจการ Makro Office Center ซึ่งจะทำให้สาขาของออฟฟิศดีโป้ในเครือมีสาขาเพิ่มมากขึ้นเป็น 35 แห่งจาก 19 แห่ง
ส่วนการลงทุนต่างประเทศ จะเข้าไปสร้างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในหังโจว มณฑล เ้จอเจียง ประเทศจีน ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดทำการในปี 52 โดยห้างดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Mix C ถือเป็นการเปิดสาขาในต่างประเทศแห่งแรกของ"เซ็นทรัลรีเทล"
นายทศ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 9% อยู่ที่ 8.7 หมื่นล้านบาท โดยใน 6 เดือนที่ผ่านมามียอดขาย 4.06 หมื่นล้านบาท เติืบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่่อน
แผนการเปิดสาขาห้างสรรพสินค้าใหม่ของเครือ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ เปิด พ.ย.51 รองรับศูนย์ราชการที่จะมาเปิดทำการในไตรมาส 3/51 และโรงเรียนนานาชาติ และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพัทยาจะเปิดให้บริการ ก.ค.52 ถือเป็นศูนย์การค้าริมหาดใหญ่ที่สุดในเอเชียมีพื้นที่ 35,000 ตารางเมตร รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่พัทยา
และปีหน้าจะมีห้างสรรพสินค้าโรบินสันชลบุรีเปิด ก.ค.52, ห้างสรรพสินค้าโรบินสันขอนแก่นเปิดทำการสิ้นปี 52 และ ห้างสรรพสินค้าโรบินสันอุบลราชธานีเปิดปลายปี 52
ส่วนอีก 3 แห่งที่จะเปิดในปี 53 คือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเชียงใหม่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพระราม 9 และห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย โดยทั้ง 3 โครงการนี้ได้มีการซื้อที่ดินไว้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบก่อสร้่าง
ขณะที่สาขา Homework ในปีนี้จะเปิดสาขาภูเก็ตช่วงเดือนต.ค.51 รองรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ส่วนอีก 2 สาขา คือที่ ถ.ราชพฤกษ์ เปิดไตรมาส 2/52 และสาขาศรีนครินทร์เปิดไืตรมาส 3/52 รวมเงินลงทุน 3,500 ล้านบาท
นายทศ กล่าวถึงกิจการในส่วนของเซ็นทรัลฟูดรีเทล ซึ่งเป็นบ.ย่อยว่า การปรับปรุงสาขา Top Supermarket และ Top Marketplace รวม 15 สาขาในปีนี้และมีแผนที่จะเปิดเปิดสาขา Top ที่เป็น standalone ปีละ 4 แ่ห่ง โดยปีนี้เปิดตัวที่ซอยอุดมสุขในเดือนต.ค.ปีนี้มีพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร ใช้งบลงทุนแห่งละ 150 ล้านบาท
บริษัทยังเข้าไปปรับปรุงเซ็นทรัลวังบูรพาเป็นศูนย์ค้าส่งวงจร โดยเปิดพื้นที่ขายสินค้าทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับชื่อ"ไชน่าเวิลด์"ซึ่งขณะนี้่มีผู้เข้าจองพื้นที่แล้ว และที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสันสีัลมเดิมก็ปรับเปลี่ยนมาเป็น Top Marketplace
ด้านการลงทุนในต่างประเทศขณะนี้เน้นที่ประเทศจีน เพราะยังมีการเติืบโตอยู่มาก เนื่องจากมีเมืองขนาดใหญ่ๆ ประมาณ 10 กว่าเมืองที่มีโอกาสทางธุรกิจค้าปลีกค่อนข้างสูง เช่นที่เซิ่นหยา่งที่เป็นการลงทุนลักษณะคล้ายกับที่หังโจวที่ไปร่วมกับ Mix C ซึ่งจะเปิดเดือนก.ย.52
นายทศ กล่าวว่า แผนการลงทุนในจีนมีงบลงทุนรวมราว 2 หมื่นล้านบาทภายในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยมีแผนว่าจะเข้่าลงทุนปีละประมาณ 4 แห่ง ซึ่งหังโจวเป็นแห่งแรก และที่ดูอยู่เซินหยาง คุณหมิง และ หนานกิง
"ตอนนี้เราก็ดูเมืองใหญ่ๆ ในจีันอยู่ 10 กว่าเมือง นอกเหนือจากที่ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ก็มีที่คุณหมิง หนานจิงและเซิ่นหยาง แต่การลงทุนก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและโครงการมากกว่า ทำเลอย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญเท่าไรแต่ต้องดูโครงการเป็นหลัีกว่ามีความเป็นไปได้หรือเปล่า ส่วนประเทศอื่นก็ต้องดู case by case"นายทศ กล่าว
ส่วนในเวียดนามบริษัทได้ชะลอการลงทุันไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วหลังจากราคาที่ดินสูงขึ้นมาแต่ขณะนี้ก็ยังไม่ไ้ด้เข้าไปศึกษาเพิ่มเติมเพียงแต่อยู่ในประเทศที่น่าสนใจอยู่
นายทศ กล่าวถึงการลงทุนในพื้นที่สถานทูตอังกฤษใกล้เซ็นทรัลชิดลมที่มีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่หรือพื้่นที่ใช้สอยประมาณ 160,000 ตารางเมตร มีงบลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแแบบยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดหรือโครงการจะเริ่มต้นได้เมื่อไร
"ในทิศทางของกลุ่มเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลก็จะเข้าไปเจาะในตัวเมืองใหญ่ ส่วนโรบินสันไปได้ทุกเมืองทั้งใหญ่ กลาง เล็ก เช่นที่จะไำปเชียงรายดูจำนวนผู้คนแล้วคิืดว่าน่าจะไปรองรับนักท่องเที่ยวได้และดูประัชากรพอสมควรเช่นเดียวกับที่ราชบุรี ที่โรบินสันมีแผนไปเปิดเช่นกัน"
นายทศ กล่าวว่า ภาวะค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับเรื่องของการเมืองถ้ายัีงไม่สงบก็จะเป็นปัจจัยอ่อนไหวต่อการจับจ่้ายใช้สอยของประชาชน เห็นได้จากในช่วง 3 เดือนแรกยอดขายก็ยังเติืบโตได้ดี 10% กว่า จากปีก่อน แต่พอไตรมาสที่ 2 ยอดขายเริ่มลดลง มองว่าถ้าทิศทางการเมืองชัดเจน นิ่งแล้่วก็จะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะัเดียวกันมองว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นดีกว่าเงินฝืด ตอนนี้ถ้าเงินเฟ้อยังอยู่ที่ 7-8% ก็ยังพอรับไหวได้่อยู่ คิดว่ายังไปได้ดีั อย่างไรก็ตาม รายรับของประชาชนก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นตามค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
"ตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทยไม่รู้จะเป็นอย่างไรแต่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังก็น่าจะโอเค... มองว่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาดีกว่าที่ผ่านมาที่อยู่ในอัตราที่ต่ำมากแต่ถ้าตอนนี้่ขึ้นมา 7-8% ก็ยังรับไหว แต่ถ้า 9-10% ไปแล้วก็คงต้องดูว่าจะรับไหวหรือเปล่าหรือจะขึ้นไปต่อเนื่องถึงปีหน้าก็คงต้องดูกัน" นายทศ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/จำเนียร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--