โบรกเกอร์ ลงความเห็นตรงกันแนะ"ซื้อ"หุ้นธนาคารกสิกรไทย(KBANK) แม้คาดว่าจะประกาศกำไรในไตรมาส 2/51 ออกมาประมาณ 4.1-4.3 พันล้านบาทต่ำกว่ากว่าไตรมาสแรก และทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกำไรเงินลงทุนที่ลดลง ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อก็ยังเป็นไปด้วยดี แม้สินเชื่อเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าทั้งปีภาพรวมสินเชื่อจะโตเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 10-12% ประกอบกับ เป็นธนาคารที่มีส่วนต่างดอกเบี้ย(NIM)สูงที่สุดระดับมากกว่า 4%
ความน่าสนใจอีกอย่างคือราคาหุ้น KBANK ลงไปมากแล้ว ซึ่งสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว โดยราคาเทรดกันอยู่ขณะนี้ต่ำกว่าราคาเป้าหมายอยู่มาก ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานดี ขณะนี้ KBANK เทรดอยู่ที่ 69.50 บาท โดยเมื่อ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมาราคาได้ปรับลงไปต่ำสุด 68.00 บาท ต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 93.00
บล.บีฟิท ซื้อ 94.00
บล.นครหลวงไทย ซื้อ 96.20
บล.ฟิลลิป ซื้อ 103.00
บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 104.00
บล.เคจีไอ ซื้อ 114.00
บล.กิมเอ็งฯ ซื้อ 106.00
บล.เคทีบี ซื้อ 107.00
นักวิเคราะห์จากบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาดว่า การขยายตัวสินเชื่อของ KBANK น่าจะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ 10-12% มาเป็น 13.5% โดยครึ่งปีแรกขยายตัวได้แล้ว 8% เป็นการเติบโตจากสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีโตไม่มาก อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังก็ยังมีความเสี่ยงหลายเรื่อง ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และอาจมีการปรับเป้าจีดีพี ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อด้วย
คาดว่ากำไรทั้งปี น่าจะอยู่ที่ 15,595 ล้านบาท โดยมีส่วนต่างดอกเบี้ยเกินกว่า 4% จากปีก่อนอยู่ที่ 4.13% _
"คิดว่ายังน่าลงทุนอยู่ ราคาที่เหมาะสมก็ไม่ได้ปรับ คือ ไตรมาส 2 คงเห็นกำไรสุทธิไม่ค่อยโตเท่าไร แต่ดูโดยรวมๆ สินเชื่อโตต่อเนื่อง ด้านมาร์จิ้น(ส่วนต่างดอกเบี้ย) เป็นแบงก์ที่ยังมีมาร์จิ้นสูงที่สุดในกลุ่ม คุณภาพสินทรัพย์ก็ยังโอเคอยู่ นอกจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมยังเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน" นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้านนางสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี มองว่า KBANK จะมีกำไรในไตรมาส 2/51 ที่ 4,100 ล้านบาท ลดลง 8% จากไตรมาส 1/51 และ ไม่เติบโตจากไตรมาส 2/50 เนื่องจากไตรมาส 1/51 มีกำไรจากการเงินลงทุน 758 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 2/51 ไม่มีในส่วนนี้ ส่วนเอ็นพีแอลอยู่ที่ประมาณ 2% ยังค่อนข้างต่ำ
ส่วนการขยายตัวของสินเชื่อ เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ เติบโต 3-4% ในไตรมาส 2/51 และเติบโต 8-9% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ในปีนี้คาดว่า KBANK จะมีกำไร 1.6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 6.83 บาท เติบโต 18% จากปีก่อน โดยมองว่าสิ้นปีนี้ book value อยู่ที่ 46.50 บาท
"ณ ปัจจุบันราคาที่เทรดกันอยู่ต่ำสุดในรอบปี มีพี/อีอยู่ที่ 10 เท่า ก็มองว่าจริงๆถ้าไม่เจอปัจจัยภายนอกเข้ามากดดัน ราคาน่าจะดี แต่ก็ยังแนะนำให้ซื้ออยู่ ราคายังห่างจากเป้าหมายที่ 107 บาทอยู่" นางสุภากร กล่าว
ด้านบล.เกียรตินาคิน คาด KBANK ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/51 มีกำไรสุทธิ 4,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีก่อนในงวดเดียวกัน แต่ลดลง 2.8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก การออกเงินฝากดอกเบี้ยอัตราพิเศษ การตั้งสำรองสูงขึ้น และกำไรจากเงินลงทุนลดลง
คาด ณ สิ้นไตรมาส 2/51 KBANK จะปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้ 8.6% จากเป้าทั้งปี 10-15% แต่สินเชื่อทื่ปล่อยเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น ซึ่งผลตอบแทนสินเชื่อค่อนข้างต่ำ
ถึงแม้ KBANK นั้นจะมีความเสี่ยงจากสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อ SME ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบในช่วงที่เศรษกิจที่ชะลอตัว แต่ความเสี่ยงดังกล่าวก็แลกมาด้วยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่ง KBANK เป็นธนาคารที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุด โดยคาดว่าส่วนต่างดอกเบี้ยในไตรมาส 2/51 อยู่ที่ 4.16% ปรับลงจาก 4.19% จากไตรมาสแรกที่ผ่านมา
รวมทั้งคาด KBANK จะมีการจ่ายปันผลในปี 2551 ที่ 2 บาท/หุ้น โดยคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.50 บาท/หุ้น จากการประเมินกำไรสุทธิปี 2551 ไว้ที่ 15,287 ล้านบาท
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--