นางนฤริน ตันติสัจธรรม รองผู้อำนวยการ สำนักงานกรุงเทพ บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์(ประเทศไทย)(CCET)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงในระยะนี้และยอดขายของบริษัทที่กำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นประจำปี น่าจะทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 3/51 ปรับตัวดีขึ้นมาก และยังจะส่งผลไปทั้งช่วงครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก
"ยอดขายครึ่งปีหลังน่าจะมากกว่าครึ่งปีแรกเนื่องจากปกติไตรมาส 3 จะเป็นไตรมาสที่ถือว่าเป็น peak ซึ่งปีนี้ก็มองว่าเช่นเดียวกันไตรมาส 3 ก็จะเป็นไตรมาสที่มีรายได้สูงที่สุด เพราะธุรกิจนี้มี Business Cycle เป็น peak season ในครึ่งปีหลัง ดังนั้น ยอดขายครึ่งปีหลังก็จะดีกว่าครึ่งปีแรก"นางนฤริน กล่าวว่า
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 6% ส่งผลดีในด้านรายได้จากการส่งออกที่แปลงเป็นเงินบาทได้เพิ่มขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งบริษัทก็มีภาระต้องนำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์ด้วยเช่นกัน แต่เงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีกับ CCET มากกว่า เนื่องจากเงินรายรับจากการส่งออกต้องมากกว่าเงินที่ต้องจ่ายในการสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ
ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีหลังนั้น นางนฤริน ยอมรับว่า ยังคาดการณ์ได้ยาก โดยแบงก์ต่างชาติมองว่าบาทน่าจะแข็งค่า ขณะที่แบงก์ไทยมองว่าบาทน่าจะอ่อนค่า สิ่งที่ทำได้คือการจัดการควาเสี่ยงของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของบริษัทอยู่ในรูป Natural Hedge จากรายได้ส่งออกและรายจ่ายการนำเข้าวัตถุดิบ แต่ก็ยอมรับว่าบริหารได้ยาก
"บาทมีความผันผวนแน่นอนไม่ดีกับธุรกิจไม่ว่าจะขาเข้าหรือขาออก เพราะการบริหารจัดการความเสี่ยงจะค่อนข้างยากลำบาก...ปกติเราจะดูทุกวันเพราะเราต้องดู rate ทุกวันว่า asset กับ Liabilities ของเราต้องเท่ากัน เพราะเวลาเราขายจะขายเป็นดอลลาร์ แต่ในการที่จะจัดการหรือการทำงบการเงินต้องเป็นบาท เพราะฉะนั้น asset ของเราบันทึกจะต้องให้เท่ากันโดยใช้ Natural Hedge"นางนฤริน กล่าว
บทวิเคราะห์ของ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า บาทอ่อนทำให้ภาพรวมของ CCET กลับดีขึ้น โดยคาดว่าบริษัทจะสร้างสถิติกำไรสูงสุดอีกครั้งในไตรมาส 3/2551 ที่เป็นช่วง High season น่าจะทำให้ CCET จะรายงานกำไรสร้างสถิติใหม่ที่ระดับสูงกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่โดดเด่นมากได้แก่ set-top box หลังมีลูกค้าใหม่เป็นบริษัทใหญ่จากยุโรปตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว นอกจากนี้ธุรกิจ PCBA สำหรับฮาร์ดดิสก์ ธุรกิจเครื่องพิมพ์ อีกทั้งการผลิตเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับลูกค้าในอเมริกาเหนือ
*ยอดขายทั้งปีแตะ 3.4 พันล้านดอลล์ จาก 2.5 พันล้านดอลล์ในปี 50
นางนฤริน เปิดเผยว่า บริษัทคงยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ากำไรสุทธิทั้งปีนี้จะดีกว่าปีก่อนหรือไม่ แต่ในแง่ยอดขายทั้งปีก็มองว่ายังสามารถที่จะอยู่ภายใต้ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในระดับ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตจากปี 50 ที่มีรายได้ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เข้ามา และลูกค้าเก่าก็มียอดขายค่อนข้างดีอยู่
ทั้งนี้ ในปี 50 กำไรสุทธิ 2,900.60 ล้านบาท ไตรมาส 1/51 มีกำไรสุทธิ 616.92 ล้านบาท
นางนฤริน กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายการวิจัยพัฒนาอาจจะกดดันกำไรในครึ่งปีแรก แต่ช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจในภาพกว้าง ไม่ใช่เฉพาะบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ส่วนที่บริษัทย่อยที่ CCET เข้าลงทุนในธุรกิจด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ต่อพ่วง จะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาธุรกิจออกไปได้มากขึ้น เนื่องจากในสินค้าเหล่านี้ใกล้เคียงกับที่ทำอยู่แล้ว ขณะที่การลงทุนใช้เงินไม่มากแค่ประมาณ 9 ล้านบาท รายได้เป็น Long term และมีประโยชน์ที่ Business partner มากกว่า เนื่องจากเป็นพาร์ทเนอร์ที่สามารถร่วมกันในอนาคตได้อีก โดยเป็นสินค้าที่ CCET ผลิตเองเพราะเรามีโรงงานอยู่แล้ว
อนึ่ง บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ยอดขายของ CCET รูปดอลลาร์ในเดือนพ.ค.แม้จะเติบโต 41% ก็ยังถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายในการวิจัย ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ ระบุ CCET รายงานยอดขายเดือน พ.ค.51 ที่ 8,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% MoM และ 29% YoY
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--