ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) จากแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 145 ดอลลาร์/บาร์เรล และตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐที่ร่วงลงในเดือนมิ.ย.
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 73.03 จุด หรือ 0.65% ปิดที่ 11,288.54 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.38 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 1,262.90 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 6.08 จุด หรือ 0.27% ปิดที่ 2,245.38 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 931 ล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 1.4 พันล้านหุ้น
คริสโตเฟอร์ โมลัมฟี นักวิเคราะห์จากบริษัทแฟรงคลิน เทมเพลตัน กล่าวว่า นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) เดือนมิ.ย.ร่วงลง 62,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้ตัวเลขจ้างงานโดยรวมลดลงไปแล้วถึง 438,000 ตำแหน่งในปีนี้
ขณะที่อัตราว่างงานทรงตัวอยู่ที่ 5.5% หลังจากพุ่งขึ้นรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปีเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานเดือนมิ.ย.ยังถือว่าสูงกว่าตัวเลข 4.6% ในปีก่อนอยู่มาก ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางรายเริ่มคาดการณ์แล้วว่าอัตราว่างงานจะไต่ขึ้นเป็น 6% หรือสูงกว่าในช่วงต้นปี 2552
"บรรยากาศการซื้อขายเต็มไปด้วยความระมัดระวังเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจกำลังเข้าสู่ภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายลงก่อนที่ตลาดการเงินและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสหรัฐจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 4 ก.ค. เนื่องในวันชาติสหรัฐ" โมลัมฟีกล่าว
ก่อนหน้านี้ ADP ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้บริการด้านข้อมูลจ้างงานของสหรัฐ เปิดเผยว่า บริษัทเอกชนของสหรัฐปรับลดตำแหน่งงานลง 79,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเป็นสถิติที่ปรับลดมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2544
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 1.72 ดอลลาร์ แตะระดับ 145.29 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ ทั้งนี้ แม้ราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยที่กดดันภาวะการซื้อขายในตลาด แต่ก็หนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น อาทิ หุ้นเอ็กซอนโมบิล และหุ้นเชฟรอน
นักลงทุนยังคงจับตาดูความคืบหน้าของบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐ หลังจากนักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นจีเอ็ม พร้อมระบุว่าจีเอ็มจำเป็นต้องระดมทุนถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
การประเมินของนักวิเคราะห์เมอร์ริล ลินช์ มีขึ้นหลังจากบริษัทจีเอ็มซึ่งมีฐานการผลิตใหญ่อยู่ในเมืองดีทรอยท์เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์เดือนมิ.ย.ของจีเอ็มร่วงลง 18% เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ปิคอัพและรถยนต์อเนกประสงค์ลดลง
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--